ลุงหมอ สวนโพธิ์

Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

4 posters

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ลุงหมอ
    ลุงหมอ
    ผู้ก่อตั้ง
    ผู้ก่อตั้ง


    จำนวนข้อความ : 6844
    Join date : 20/11/2010

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  ลุงหมอ Mon Jun 20, 2011 11:25 am

    Very Happy นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสำพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสำพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสำพุทธัสสะ
    พระพุทธัง ประสิทธิ พระธัมมัง ประสิทธิ พระสังฆัง ประสิทธิ เทวดาประสิทธิ ครูหมอยาประสิทธิ ครูฤษีบรมครู ทั้ง ๑๐๘ ประสิทธิ เม.
    ความตั้งใจจริง ๆ ตั้งแต่ดูดวงมา ไม่เคยขอค่าตอบแทนไดๆ ในการพยากรณ์มา ตลอด 30 กว่าปี หรือ นับแต่ ดูดวง ทำยาเป็น แต่ ถ้าอยากจะทำบุญบูชาครู ขอได้โปรดกรุณา ไปทำบุญ ที่วัดไดๆก็ได้ ที่สดวก หรือ สบายใจ ถวายบูชาครูฤษี ครูบา อาจารย์ ที่สืบต่อถือ สืบทอดกันมา ในวิชาความรู้ด้านหมอดูพยากรณ์ และ หมอยาทุกๆแขนง นับแต่อดีตกาล จน ถึงปัจจุบัน ขอให้ท่านทั้งหลาย มีความสุข ในบุญกุศล ที่ศิษย์ ทั้งหลาย ได้สร้างสม กระทำกันมา ขอทุกๆพระองค์ทรงพระเมตตา ลูกหลานทั้งหลาย และผู้ที่มาขอให้ได้คิด พูด ทำ ได้ถูกต้อง ให้เขาทั้งหลาย พ้นจากทุกข์ โศก โรค ภัย นาๆประการ เจริญด้วย ลาภ ผล เงิน ทอง ตามปราถนา ขอฝากเทพยาดาเทวฤทธิ์ ผู้ดูแลทิศทั้ง ๔ ทางทั้ง ๘ ได้เมตตาเขาเหล่านั้น ที่ดีขอให้ได้มา ที่ไม่ดี ขอให้ช่วยขจัด พาออกไป จากพวกเขา จะกระทำการไดๆแม้ ไม่พ้นวิศัยอันมนุษย์พึงได้ และอยู่ในศีลธรรมอันดี จงมีความสำเร็จ ด้วยเดชะ พุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี เทวดาบารมี ขอความสุข สำเร็จจงเกิดแก่ ท่านทั้งหลาย โดยเร็วพลัน เทอญ
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 12:42 pm

    สาธุ สาธุ สาธุ

    ขอบพระคุณในธรรมทานของลุงหมอค่ะ


    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 1-20110620112511
    ลุงหมอ
    ลุงหมอ
    ผู้ก่อตั้ง
    ผู้ก่อตั้ง


    จำนวนข้อความ : 6844
    Join date : 20/11/2010

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  ลุงหมอ Mon Jun 20, 2011 5:01 pm

    thanita พิมพ์ว่า: สาธุ สาธุ สาธุ

    ขอบพระคุณในธรรมทานของลุงหมอค่ะ


    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 1-20110620112511

    Very Happy Smile Laughing ลูกเขา น่ารักดีวุ้ย? albino cherry santa

    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 5:33 pm

    บูชาองค์ชีวกโกมารภัจจ์

    ตั้งนะโม 3 จบ

    โอม นะโม ชีวะโก สิระสา อะหัง กะรุณิโก
    สัพพะสัตตานังโอสะถะ ทิพพะมันตัง ปะภาโส
    สุริยาจันทัง กุมาระภัจโจ
    (กุมาระวัตโต) ปะกาเสสิวันทามิ บัณฑิโต
    สุเมธะโส อะโรคา สุมานะ


    พระคาถานี้ ให้บูชาเป็นประจำ ความป่วยไข้หรือ โรคภัย จะไม่มากล้ำกราย
    แต่ต้องอยู่ในศีลธรรมพ่อหมอ ชีวกโกมารภัจจ์ เป็นพระโสดาบัน
    จัดเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ฉะนั้น พึงตั้งจิตสวดบูชาโดยความเคารพโดยเฉพาะ
    ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับศพ หรือ คนป่วย ควรจะสวดเป็นประจำ วิญญาณร้ายจะไม่ตามติดมากรังควาญ

    องค์ชีวกโกมารภัจจ์เป็นแพทย์ประจำพระองค์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    และเป็นปรมาจารย์ผู้คิดค้นบุกเบิกการใช้สมุนไพร เพื่อเยียวยารักษาโรคภัย
    ไข้เจ็บ หมอชีวกได้บรรลุ ธรรมเป็นพระโสดาบัน และด้วยศรัทธาในพระพุทธเจ้า
    ปรารถนาจะไปเฝ้าวันละ 2-3 ครั้ง เห็นว่าพระเวฬุวันไกลเกินไปจึงสร้าง
    วัดถวายในสวนมะม่วงของตน เรียกว่าชีวกัมพวัน (อัมพวันของหมอชีวก)
    เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูเริ่มน้อยพระทัยมาทางศาสนาหมอชีวก
    ก็เป็นผู้แนะนำให้เสด็จไปพบพระพุทธเจ้า

    หมอชีวกได้รับพระดำรัสยกย่องให้เป็นเอตทัคคะในบรรดาอุบาสกผู้เลื่อมใส
    อาศัยบารมีพระเมตตา แห่งองค์บรมครูหมอชีวกโกมารภัจจ์ช่วยปกป้องรักษา
    ขจัด ปัดเป่าโรคร้าย ภัยเวรให้หายไปจากแผ่นดิน

    ที่มา http://www.larnbuddhism.com/webboard/forum12/thread471.html
    และข้างความ ข้างล่างนี้จาก
    http://board.palungjit.com/f9/รวมสูตรยาสมุนไพรทั่วไทย-187698-2.html

    โพสต์ โดย คุณ สันโดษ ขอขอบพระคุณค่ะ



    ขออนุญาต ลุงหมอ ด้วยนะคะ
    ขอลงกระทู้นี้ ต่อ ด้วย ประโยชน์ ของสมุนไพร


    แก้ไขล่าสุดโดย thanita เมื่อ Tue Jun 21, 2011 9:57 am, ทั้งหมด 2 ครั้ง
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 5:41 pm

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 00198_3

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 00198_4

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 00198_5

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 00198_6

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 00198_7

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 00198_8

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 00198_9

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 00198_10










    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 00198_11บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 00198_12บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 00198_13บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 00198_14บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 00198_15
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 5:51 pm

    คาถาธาตุเศรษฐี สวดให้ครบ 108 จบ เงินจะไหลนองทองจะไหลมา...

    อิติมะมะ
    มีมะมูล
    พูลมามี
    มามะมะ
    นะมะธะถะ...

    ตำรายาเบาหวาน กับความดันสูง


    มีสองตำหรับ ได้ผลดี

    ตำหรับแรก หญ้าลูกใต้ใบทั้งห้า (ใบ ผล ราก ดอก ต้น)
    หาได้ง่ายมากตามแถวบริเวณที่รกร้างหรือใต้ถุนบ้าน ล้างให้สะอาด
    ต้มใส้เตยหอมอัตราส่วน หนึ่ง ต่อ หนึ่ง ตอนต้มก็ให้ใส่น้ำสามส่วน
    เคี่ยวซักหน่อยนะให้ตัวยาข้นๆ ค่อยดื่ม

    ตำหรับสองฮว่านง็อกวันละสามใบ ทานเหมือนผักสด



    โรคที่เกิดทั้งหมดจะเกี่ยวพันกับธาตุทั้งสี่ของมนุษย์
    ความดันสูง เกิดจากความไม่สมดุลย์ของธาตุน้ำกับธาตุดิน
    หรือหมอจีนบอกว่าอวัยวะ หยิน หยาง ไม่สมมูลกัน (ไม่เป็นไปตามกฏ เจ็ด ต่อ หนึ่ง)

    ความดันสูงจะเป็นอยู่คู่เบาหวาน มีอยู่หลายๆ สูตรรักษาให้ทุเลาและหายลงได้
    ระวังกินยาหมอปัจจุบันนานๆ ซึ่งจะมีผลต่อไต หันมากินยาสมุนไพรบ้านเราดีกว่า...

    -คึ่นฉ่ายปั่นกับน้ำกินบ่อยๆ ทำเยอะๆ แช่ตู้เย็นไว้ทานสอง สาม วันต่อครั้ง
    แต่ถ้าเป็นไปได้ให้ทานสดๆ ทุกวันนะ

    -กระเจี๊ยบแดง + พุทราจีน อย่ากินกระเจี๊ยบเดี่ยวๆ เป็นเวลานานๆ เด็ดๆ นะ
    เพราะจะไปทำลายไต และไม่ควรใส่น้ำตาล

    วิธีทำคือ เอาอย่างละกำมือใส่หม้อ เติมน้ำสองลิตร
    แล้วต้มให้เดือด ถ้าใช้หม้อดินก็จะดีมากนะ...ทานบ่อยๆ
    ผนังหลอดเลือดจะยืดหยุ่น การบีบขยายตัวก็จะสะดวก
    และเป็นผลดีต่อการใหลเวียนของกระแสเลือด



    ที่สำคัญคือต้องงดสุรา บุหรี่ ชา กาแฟ และทานอาหารเช้า
    งดอาหารเย็นที่เป็นแป้งด้วย

    ยากำจัดกลิ่นตัว
    ท่านให้เอาต้นตำลึงสดๆ(เอาทั้งต้นและใบ)
    นำมาตำให้ละเอียดผสมกับปูนแดงพอสมควร ใช้ทาที่รักแร้
    มีสรรพคุณกำจัดกลื่นตัวให้หายไป


    ยากำจัดรังแค

    ท่านให้เอาผลบวบอ่อนๆ ๑ ลูก นำมาปอกเปือกแล้วหั่นเป็นชิ้นใช้ขยี้บนศรีษะให้ทั่ว
    ทิ้งไว้สักพัก แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด อาการคันศรีษะและรังแคจะหายไป
    ท่านให้เอาผลมะกรูด ๑ ผล นำมาเผาไฟให้ร้อน
    นำมาคั้นเอาน้ำใช้ขยี้บนศรีษะให้ทั่ว ทิ้งไว้ ๒-๓ นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
    มีสรรพคุณขจัดรังแคได้เป็นอย่างดี

    ยาบำรุงผมให้นุ่มสวย
    ท่านให้เอาไข่เป็ดหรือไข่ไก่ ๑ ฟอง ทุบเอาเฉพาะไข่แดง ใช้ขยี้ผมให้ทั่ว
    ทิ้งไว้ประมาณ ๒-๓ นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด เพียง ๒-๓ ครั้ง จะทำให้ผมนุ่มสวย

    ยาแก้ผมแตกปลาย
    ท่านให้เอาต้นตะไคร้ ๓-๔ ต้นนำมาล้างน้ำให้สะอาดตำให้ละเอียด
    คั้นเอาน้ำมาใช้นวดผม ทิ้งไว้สักครู่ จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด
    มีสรรพคุณรักษาผมแตกปลาย กำจัดรังแค และทำให้ผมดำได้ภายใน ๒ เดือน


    ยารักษาโรคกระเพาะ
    ท่านให้เอาใบยอ(ไม่อ่อนหรือแก่เกินไป) พริกไทยร่อน ขิงแห้ง ดีปรี
    ตัวยาทั้ง ๔ นี้เอาหนักอย่างละ ๔ บาทเท่าๆกัน
    นำมาตากแดดให้แห้งบดเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งแท้
    ปั้นเป็นลูกกลอนใชัรับประทานหลังอาหาร มีสรรพคุณแก้โรคกะเพาะได้ผลเป็นอย่างดี
    ท่านให้เอากล้วยน้ำหว้าดิบมากพอสมควร นำมาปอกเปลือก แล้วหั่น เป็นชิ้นบางๆ
    ตากแดดให้แห้ง บดเป็นผง เก็บรักษาไว้ให้มิดชิด
    ใช้ผงกล้วยน้ำว้า ๑-๒ ช้อนโต๊ะละลายกับน้ำสุก ๑-๒ ช้อนโต๊ะ
    กวนให้เข้ากันรับประทานวันละ ๒-๓ ครั้งติดต่อกันประมาณ ๑๕ วันโรคกระเพาะจะหายไป

    ยาแก้โรคนอนไม่หลับ
    ท่านให้เอาลูกมะตูมอ่อน บอระเพ็ด พริกไทยร่อน ขมิ้นอ้อย
    ตัวยาทั้งหมดเอาหนักอย่างละ ๑ บาทเท่ากัน นำมาตำให้ละเอียด
    ผสมกับน้ำผึ้งแท้ ใช้รับประทานแก้โรคนอนไม่หลับได้ผลดีมาก
    ท่านให้เอาลูกสมอไทย ลูกสมอเทศ รากชะพลู กัญชา ตัวยาทั้ง ๔ นี้
    เอาอย่างละเท่าไๆกัน นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร
    ใช้รับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา แก้โรคนอนไม่หลับได้ดีมาก
    ท่านให้เอาขิงแห้ง ผลมะตูมอ่อน รากหญ้าขัดมอญ หญ้าตีนนก หัวแห้วหมู
    ลูกผักชีล้อม ตัวยาทั้งหมดเอาอย่างละเท่าๆกันนำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร
    ใช้น้ำยารัปประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชาเช้า-เย็น มีสรรพคุณแก้โรคนอนไม่หลับได้เป็นอย่างดี

    ยารักษาโรคเท้าแตก
    ท่านให้รับประทานกล้วยหอมแล้วเอาเปลืกกล้วยหอมนั้นมาถูฝ่ามือฝ่าเท้า
    วันละ ๒-๓ ครั้ง ชั่วเพียง๒-๓ วันเท่านั้นโรคฝ่ามือฝ่าเท้าแตกก็จะหาย

    ยาแก้พิษสัตว์กัดต่อย
    แมลงป่องต่อย ท่านให้เอาหัวหอมแดง กับมะขามเปียก นำมาตำผสมกัน
    ใช้ทาบริเวณที่โดนแมลงป่องต่อยอาการปวดจะหายไป
    ท่านให้เอาเหล้าแอมโมเนีย ใช้ทาบริเวณที่โดนแมลกัดต่อยอาการปวดจะหายไป
    ท่านให้เอา ใบมะละกอสดนำมาตำให้ละเอียด
    ผสมกับปูนแดงใช้พอกบริเวณที่ถูกแมลงต่อยอาการปวดแสบปวดร้อนจะหายไปภายใน ๕ นาที

    รักษาแผลไฟไหม้-น้ำร้อนลวก

    ---ท่านให้เอา เหล้า ๑ น้ำมันมะพร้าว ๑ น้ำปูนใส ๑ สามอย่างนี้เอาอย่างละเท่าๆกัน
    นำมากวนให้เข้ากันเป็นอย่างดีจนมีลักษณะคล้ายน้ำมันข้น
    ใช้สำลีพันปลายไม้จุ่มยาทาบริเวณที่ถูกไฟลวกอาการปวดแสบจะหายไปและเป็นยารักษาแผลได้อีกด้วย

    ---ท่านให้เอาเหล้า ๑ น้ำมันมะพร้าว ๑ น้ำฝน ๑ ทั้งสามอย่างเอาเท่าๆ
    กันมาผสมกับปูนแดงเพียงเล็กน้อยกวนให้เข้ากัน ใช้ทาบริเวณที่โดนไฟหรือน้ำร้อนลวก
    ท่านให้เอาผักบุ้งไทย น้ำตาลโตนด พอสมควร นำมาผสมกันให้ละเอียด
    ใช้พอกบริเวณที่ถูกไฟหรือน้ำร้อนลวก

    ยาแก้แผลอักเสบ
    ---ท่านให้เอาหอมแดงกับน้ำตาลกรวดอย่งละพอสมควรตำให้เข้ากันแล้วนำ
    มาพอกบริเวณที่เป็นแผลที่ถูกหนามหรือตาปูตำชึ่งมีอาการปวดบวมจะทำให้แผลหายอักเสบ
    ---ท่านให้เอาเมล็ดถั่วเขียวสดๆนำมาเคี้ยวให้ละเอียด ใช้พอกปากแผลที่ถูกตาปูตำ
    หรือถูกของแหลมคม เป็นยาแก้อักเสบและทำให้แผลหายเร็ว

    ยารักษาแผลเน่าเรื้อรัง
    ---ท่านให้เอากำมะถัน ๑ ขมิ้นผง ๑ ยาสูบ(ยาเส้นที่ใช้มวนกับใบตองหรือใบยาสูบ)
    ๑ ปูนแดง(ปูนกินกับหมาก) ๑ ตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้เอาอย่างละเท่าๆกันนำมาบดให้ละเอียด
    ผสมกับน้ำมะนาวใส่ภาชนะตั้งไฟเคี่ยวให้เดือดใช้ทาบริเวรที่เป็นแผล
    รักษาแผลเน่าเปื่อยได้ผลเป็นอย่างดี ถ้าเป็นแผลโรคหิดท่าน
    ให้ใส่หัวกระเทียมผสมเล็กน้อยจะช่วยรักษาแผลโรคหิดได้เป็นอย่างดี
    ---ท่านให้เอาใบมะละกอสดมาล้างให้สะอาดตำให้ละเอียดนำมาพอก
    บริเวณที่เป็นแผลเน่าเปื่อยมีสรรพคุณรักษาแผลเน่าเปื่อยได้ดี

    ยาห้ามเลือด
    ---ท่านให้เอาใบแห้วหมูมากน้อยตามต้องการนำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำปูนใส
    ใช้พอกที่บาดแผลให้ทั่วเลือดจะหยุดไหลทันที

    ---ท่านให้เอาน้ำตาลทรายขาว หัวกระเทียม ปูนแดง ใบพลูสด ผักบุ้งไทย
    ตัวยาทั้ง ๕ นี้อย่างละพอสมควร นำมาตำผสมกันให้ละเอียด ผสมกับน้ำมันมะพร้าว
    ใช้พอกที่บาดแผล เลือดจะหยุดไหลทันที

    ---ท่านให้เอาหอมแดงจำนวนตามต้องการผสมกับเหล้าใช้พอกบริเวณที่เป็นแผล
    เลือดจะหยุดไหลทันที

    ยาแก้พิษสัตว์กัดต่อย
    ---แมลงป่องต่อย ท่านให้เอาหัวหอมแดง กับมะขามเปียก นำมาตำผสมกัน
    ใช้ทาบริเวณที่โดนแมลงป่องต่อยอาการปวดจะหายไป

    ---ท่านให้เอาเหล้าแอมโมเนีย ใช้ทาบริเวณที่โดนแมลกัดต่อยอาการปวดจะหายไป

    ---ท่านให้เอา ใบมะละกอสดนำมาตำให้ละเอียด ผสมกับปูนแดง
    ใช้พอกบริเวณที่ถูกแมลงต่อยอาการปวดแสบปวดร้อนจะหายไปภายใน ๕ นาที

    กาแฟ
    สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา
    เมล็ด-เมล็ดมีคาเฟอีนเป็นยากระตุ้นหัวใจ ยากระตุ้นประสาทส่วนกลาง
    ทำให้นอนไม่หลับ พบสาร theophylline มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ จากการทดลองพบว่า
    การดื่มกาแฟทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
    เพราะมีสาร theobromine อาจทำให้มีอาการปวดแสบที่ลิ้นปี่
    นอกจากนี้กาแฟ ยังลดการดูดซึมธาติเหล็กอีกด้วย
    จึงควรระวังในการดื่มกาแฟ โดยเฉพาะขณะท้องว่าง

    มะละกอ
    สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา
    รากและก้านใบ-ขับปัสสาวะ ยางขาวจากผลดิบมีเอ็นไซม์ย่อยโปรตีน
    ได้แก่ papain และ chymopapain ใช้ย่อยเนื้อสัตว์ให้เปื่อย
    นำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารกระป๋องในอุตสาหกรรมยาใช้เอ็นไซม์
    ผลิตเป็นยาเม็ด ลดอาการบวม การอักเสบจากบาดแผลหรือการผ่าตัด

    สับปะรด
    สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา
    เหง้า-เป็นยาขับปัสสาวะ แก้นิ่ว
    เนื้อผล-เป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ
    ลำต้นและผล-มีเอนไซม์ย่อยโปรตีนชื่อ bromelain
    ซึ่งใช้เป็นยาลดการอักเสบ และบวมจากการถูกกระแทกบาดแผล หรือการผ่าตัดได้

    ยาสมุนไพรแก้อัมพฤกษ์-อัมพาต-ชักกระตุก
    ท่านบอกมาว่าให้คั้นเอาน้ำใบบัวบกเข้มข้น+น้ำยอดขี้เหล็กเข้มข้น+รำจมูกข้าวละเอียด
    ผสมกันปั้นเป็นลูกกลอนกินก่อนนอน ดีนักแล

    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 5:59 pm

    สมุนไพรสูตรยาอายุวัฒนะด้วยมะขามป้อม

    ชื่อ : มะขามป้อม
    วิธีใช้ :
    1. ใช้ผลมะขามป้อมที่แก่จัด 1 ผล เอาเฉพาะเนื้อตำให้ละเอียดใส่เกลือ
    ใส่น้ำผึ้งพอชุ่ม อม ไว้ แล้วค่อยๆกลืน
    2. ผลมะขามป้อม 1 กำมือ ทุบให้แตกก่อนต้มกับน้ำ 3 แก้ว
    ต้มให้เหลือ 1 แก้ว แล้วจิบในขณะอุ่นๆ
    สมุนไพรสูตรยาอายุวัฒนะด้วยเหงือกบอระเพ็ด

    ชื่อ : บอระเพ็ด
    วิธีใช้ :
    บอระเพ็ดใช้เถาบอระเพ็ดหั่นตากแล้วบดเป็นผงผสมกับน้ำผึ้งปั้น
    เป็นลูกกลอนกินก่อนนอน วันละ 2-4 เม็ด
    สมุนไพรสูตรยาอายุวัฒนะด้วยเหงือกปลาหมอ
    ชื่อ : เหงือกปลาหมอ
    วิธีใช้ :
    ใช้เหงือกปลาหมอล้างให้สะอาดตากให้แห้ง
    บดเป็นผงผสมกับพริกไทยป่น 1 ส่วน และใส่น้ำผึ้งอีก 1 ส่วนคลุกให้เข้ากัน
    ปั้นเป็นลูกกลอนกินวันละ 2-4 เม็ด ก่อนนอน
    สมุนไพรสูตรยาอายุวัฒนะด้วยกล้วยว้า

    ชื่อ : กล้วยน้ำว้า
    วิธีใช้ :
    ใช้กล้วยน้ำว้าสุกงอมปอกเปลือกแช่ในน้ำผึ้งอย่างน้อย 1 สัปดาห์
    กินวันละ 1-2 ผล ทุกวัน

    ที่มา สมุนไพร สูตรยาอายุวัฒนะ | สมุนไพรไทย สมุนไพรจีน สมุนไพรรักษาโรค สมุนไพรเพื่อสุขภาพ สมุนไ
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 6:03 pm

    สมุนไพรแก้ไข้ ร้อนใน เจ็บคอ

    บอระเพ็ด
    ชื่ออื่น : เครือเขาฮอ จุ่งจิง เจตมูลหนาม เจตมูลยาน เถาหัวด้วน หางหนู

    ลักษณะ : ไม้เถาเลื้อยพัน มีลักษณะคล้ายชิงช้ามาก ต่างกันที่เถามีขนาดใหญ่กว่า มีปุ่มปม
    มากกว่า มีรสขมกว่าและไม่มีปุ่มใกล้ฐานใบ

    สรรพคุณ : ตำรายาไทยใช้เถาเป็นยาแก้ไข้ ขับเหงื่อ แก้กระหายน้ำ แก้ร้อนใน
    โดยนำเถาสดขนาดยาว 2 คืบครึ่ง (30-40 กรัม) ต้มคั้นเอาน้ำดื่ม หรือต้มเคี่ยวกับน้ำ 3 ส่วน
    จนเหลือ 1 ส่วน ดื่มก่อนอาหารวันละ 2 ครั้งเช้าเย็น หรือเมื่อมีไข้ นอกจากนี้
    ใช้เป็นยาขมเจริญอาหารด้วย ปัจจุบันองค์การเภสัชกรรมผลิตทิงเจอร์บอระเพ็ด
    เพื่อใช้แทน Tincture Gentian ซึ่งเป็นส่วนผสมของยาธาตุที่ต้องนำเข้า
    จากต่างประเทศ การทดลองในสัตว์พบว่าน้ำสกัดเถาสามารถลดไข้ได้

    ปลาไหลเผือก
    ชื่ออื่น : กรุงบาดาล คะนาง ชะนาง ตรึงบาดาล ตุงสอ แฮพันชั้น เพียก หยิกบ่อถอง
    หยิกไม่ถึง เอียนดอน ไหลเผือก

    ลักษณะ : ไม้ยืนค้น สูง 4-6 เมตร ลำต้นตรง ไม่ค่อยแตกกิ่งก้าน ใบประกอบแบบขนนก
    เรียงสลับ ออกเป็นกระจุกบริเวณปลายกิ่ง ใบย่อยรูปไข่แกมวงรี กว้าง 2-3 ซม.
    ยาว 5-7 ซม. สีเขียวเข้ม ยอดและใบอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดง ดอกช่อ ออกที่ซอกใบ
    ดอกย่อยขนาดเล็ก กลีบดอกสีม่วงแดง ผลเป็นผลสด รูปยาวรี

    สรรพคุณ : ตำรายาไทยใช้รากเป็นยาแก้ไข้ทุกชนิดรวมทั้งไข้จับสั่น พบว่าสารที่ออกฤทธิ์
    เป็นสารที่มีรสขมได้แก่ eurycomalactone eurycomanol และ eurycomanone
    สารทั้งสามมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อมาเลเรียชนิดฟัลซิพารัม
    ในหลอดทดลองได้ จัดเป็นสมุนไพรที่มีศักยภาพ

    ย่านาง
    ลักษณะ : ไม้เถา ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่แกมใบหอก กว้าง 2-4 ซม. ยาว 5-12 ซม.
    ดอกช่อ ออกตามเถาและที่ซอกใบ แยกเพศอยู่คนละต้น ไม่มีกลีบดอก
    ผลเป็นผลกลุ่ม ผลย่อย รูปวงรี
    สรรพคุณ : ตำรายาไทยใช้รากต้มกับน้ำ ดื่มเป็นยาแก้ไข้ทุกชนิด การทดลองพบว่าสารสกัดราก
    มีฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรียชนิดฟัลซิพารัมในหลอดทดลอง

    ฟ้าทะลายโจร
    ชื่ออื่น : คีปังฮี (จีน) ฟ้าทะลายโจร หญ้ากันงู น้ำลายพังพอน

    ลักษณะ : ไม้ล้มลุก สูง30-60 ซม.ทั้งต้นมีรสขม ลำต้นเป็นสี่เหลี่ยม แตกกิ่งออกเป็นพุ่มเล็ก
    ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่หรือรูปใบหอก กว้าง 2-3 ซม. ยาว4-8 ซม. สีเขียวเข้ม
    เป็นมัน ดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่งและซอกใบ ดอกย่อยขนาดเล็กกลีบดอกสีขาว
    โคนกลีบดอกติดกัน ปลายแยกออกเป็น 2 ปาก ปากบนมี 3 กลีบ มีเส้นสีแดงเข้ม
    พาดตามยาว ปากล่างมี 2 กลีบ ผลเป็นฝักสีเขียวอมน้ำตาล ปลายแหลม เมื่อผลแก่
    จะแตกเป็นสองซีก ดีดเมล็ดออกมา

    สรรพคุณ : ชาวจีนใช้ฟ้าทะลายเป็นยามาแต่โบราณ และมาเป็นที่นิยมใช้ในประเทศไทย
    เมื่อไม่นานมานี้ โดยใช้เฉพาะใบหรือทั้งต้นบนดินซึ่งเก็บก่อนที่จะมีดอก
    เป็นยาแก้เจ็บคอ แก้ท้องเสีย แก้ไข้ เป็นยาขมเจริญอาหาร การศึกษาฤทธิ์ลดไข้
    ในสัตว์ทดลองพบว่าสารสกัดแอลกอฮอล์มีแนวโน้มลดไข้ได้
    รายงานการใช้รักษาโรคอุจจาระร่วงและบิดไม่มีตัว
    แสดงว่าฟ้าทะลายมีประสิทธิภาพในการรักษา
    เท่ากับเตตราซัยคลินแต่ในการรักษาอาการเจ็บคอนั้นมีรายงานทั้งที่ได้ผลและไม่ได้ผล

    ขนาดที่ใช้คือพืชสด 1-3 กำมือ ต้มน้ำดื่มก่อนอาหารวันละ 3 ครั้ง หรือ
    ใช้พืชแห้งบดเป็นผงละเอียดปั้นเป็นยาลูกกลอนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ
    0.8 ซม. กินครั้งละ 3-6 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน
    สำหรับผงฟ้าทะลายที่บรรจุแคปซูล ๆ ละ 500 มิลลิกรัม ให้กินครั้งละ 2 เม็ด
    วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้าและเย็น อาการข้างเคียงที่อาจพบคือ คลื่นไส้
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 6:08 pm

    แก้เริม งูสวัด

    พญาปล้องทอง
    ชื่ออื่น : ผักมันไก่ ผักลิ้นเขียด พญาปล้องคำ พญาปล้องดำ พญายอ เสลดพังพอน

    เสลดพังพอนตัวเมีย
    ลักษณะ : ไม้พุ่มรอเลื้อย สูง 1-3 เมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปใบหอก กว้าง 1-3 ซม.
    ยาว 4-12 ซม. สีเขียวเข้ม ดอกช่อ ออกเป็นกะจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีแดงส้ม
    โคนกลีบ สีเขียว ติดกันเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็น 2 ปาก ไม่ค่อยออกดอก
    ผลเป็นผลแห้ง แตกได้
    สรรพคุณ : ตำรายาไทยใช้ใบสดรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก แมลงกัดต่อย ผื่นคัน
    โดยนำใบสด 5-10 ใบ ตำหรือขยี้ทา การทดลองในสัตว์พบว่าสารสกัดใบสดด้วย
    n-butanol สามารถลดการอักเสบได้ มีการเตรียมเป็นทิงเจอร์เพื่อใช้ทารักษาอาการ
    อักเสบจากเริมในปาก โดยใช้ใบสด 1 กก. ปั่นละเอียด เติมแอลกอฮอล์ 70%
    1 ลิตร หมัก 7 วัน กรอง ระเหยบนเครื่องอังไอน้ำให้ปริมาตรลดลงครึ่งหนึ่ง
    เติมกลีเซอรีนเท่าตัว

    สรรพคุณของพืขผักแต่ละชนิดมีคุณประโยชน์ต่อการรักษาโรค ดังนี้ค่ะ

    1. ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด
    น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง จ ะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง

    2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว

    3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมัน
    ไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด

    4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็น ประจำ สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์
    เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี

    5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง

    6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า
    ( ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง )
    น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง

    7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก
    และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป

    8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี ( ไม้เมืองหนาว)
    กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้

    9.. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน
    ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้

    10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด
    ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้

    11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆ
    ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี

    12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง
    กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย

    13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง

    14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี
    โดยเฉพาะรำข้าวกะหล่ำปลี ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้
    ในปริมาณที่เหมาะสม
    ข้อสำคัญอย่ากินไก่มาก เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต

    15. มะเร็งปอด กิน ส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเอ อยู่มากจะช่วยป้องกัน
    การก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน

    16 แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรัง
    ในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้

    17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก ช่วยให้อาการปั่นป่วน
    ในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง

    18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี ' โมโรอันแซตเทอเรต '
    ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว ' คลอเลสเตอรอล ' ได้

    19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมี
    ทำให้ระดับความดันเลือดลดลง

    20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโครลี่ และถั่วลิสง ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้

    พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นนอกจากจะอิ่มท้องแล้ว
    ยังมีสรรพคุณช่วยสร้างความสมดุลภายในร่างกายช่วยป้องกัน
    และรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆได้ถ้าได้เรียนรู้
    ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง และคุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร

    โดยเฉพาะพืชสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทย
    เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านในท้องถิ่นอันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้
    ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานไทย


    ที่มา http://rainbowsee.multiply.com/reviews/item/16
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 6:11 pm

    ยาแก้ไข้ทับฤดู(มีฤดูก่อนเป็นไข้) แก้ฤดูทับไข้(เป็นไข้ก่อนมีฤดู) (หายภายในวันเดียว)
    (๑) จันทน์แดง
    (๒) จันทน์ขาว
    (๓) โกฏสอ
    (๔) โกฏหัวบัว
    (๕) ชะลูด
    (๖) หญ้าตีนนก
    (๗) แฝกหอม
    (๘) สมุลแว้ง
    (๙) ชะเอมเทศ
    (๑๐) ลูกผักชี

    ตัวยาทั้ง ๑๐ นี้หนักสิ่งละ ๒ บาท
    ต้มสามเอาหนึ่ง (ใส่น้ำสามส่วนต้มเคี่ยวให้เหลือน้ำยาหนึ่งส่วน)

    กินทุกสามชั่วโมง


    สรรพคุณแก้ฤดูเน่าเหม็น เป็นไข้หนักขนาดเพ้อคลั่ง



    ที่มา สูตรยาสมุนไพรแก้ไข้ทับฤดูฤดูทับไข้(กินหายภายในวันเดียว)


    วิธีการต้มยาสมุนไพร(Herbs Decoction)เพื่อสกัดตัวยาออกมาใช้ประโยชน์



    วิธีแปรรูปสมุนไพรเป็นการนำเอาสรรพคุณของสมุนไพรมาใช้งาน
    ซึ่งมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน พืชสมุนไพรแต่ละชนิดก็มีวิธีแปรรูปที่แตกต่างกันไป
    วิธีแปรรูปสมุนไพรที่พบเห็นได้บ่อยและนิยมใช้กันมากได้แก่ การต้ม

    วิธีการต้มยาสมุนไพรเป็นหนึ่งในวิธีแปรรูปสมุนไพร
    ที่สามารถสกัดตัวยาที่อยู่ในสมุนไพรให้ออกมาได้ดีกว่าวิธีอื่นๆ
    เพราะต้องใช้ความร้อนมากและเวลาการต้มที่นานกว่า
    โดยมีน้ำเป็นตัวละลายยาที่อยู่ในต้นพืชสมุนไพร
    การต้มยาสมุนไพรไม่จำกัดว่าจะเป็นสมุนไพรแห้งหรือสมุนไพรสด
    โดยมากจะเป็นพืชสมุนไพรจำพวกเปลือกไม้ รากไม้ เมล็ดหรือผลของพืชสมุนไพร

    การต้มยาสมุนไพรมีข้อดีคือ ทำง่ายและสะดวก
    สามารถสกัดเอาตัวยาออกมาจากพืชสมุนไพรได้มาก
    แต่ก็มีข้อเสียคือยาสมุนไพรที่ได้จากการต้มมักจะมีรสขม ฝาด กลิ่นและรสชาติไม่น่าดื่ม
    และยาสมุนไพรที่ได้จากการต้มไม่ควรเก็บไว้ข้ามคืนเพราะอาจจะขึ้นราและเสียได้ง่าย
    ควรดื่มยาสมุนไพรที่ได้จากการต้มให้หมดภายในวันนั้น(ต้มกินวันต่อวัน)

    วิธีการต้มยาสมุนไพร ความสะอาดต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง
    น้ำและภาชนะที่ใช้ในการต้มยาสมุนไพรต้องสะอาดและบริสุทธิ์
    ภาชนะที่ใช้ควรเป็นภาชนะที่ทำด้วยดินเผา
    ไม่ควรใช้ภาชนะที่เป็นโลหะเพราะสมุนไพรอาจทำปฏิกิริยากับโลหะทำให้มีผลต่อ
    สรรพคุณของยาสมุนไพร ส่วนปริมาณที่ใช้ต้มให้ใส่พอท่วมตัวสมุนไพรเท่านั้น

    การเตรียมสมุนไพรที่จะต้ม ถ้าสมุนไพรที่นำมาต้มมีขนาดใหญ่
    ให้หั่นหรือสับให้มีขนาดเล็กลงแต่อย่าหั่นหรือสับสมุนไพร
    จนเล็กเป็นฝอยเพราะจะทำให้ลำบากเวลาจะแยกกากสมุนไพรออกจากน้ำสมุนไพรที่ต้มได้
    หากเป็นสมุนไพรแห้งก่อนต้มให้แช่น้ำทิ้งไว้สัก 20-30 นาที
    แต่ถ้าเป็นสมุนไพรสดให้ต้มได้เลยไม่ต้องแช่น้ำ

    ความแรงของไฟที่ใช้ต้มยาสมุนไพร ให้ใช้ไฟปานกลางเมื่อต้มยาจนเดือดแล้ว
    ค่อยๆลดไฟลงให้เป็นไฟอ่อนและขณะต้มยาสมุนไพรต้องคอยคนยาที่ต้มตลอดเวลา
    ต้มยาสมุนไพรด้วยไฟอ่อนอีก 10-20 นาทีก็ใช้ได้แล้ว
    การต้มยาสมุนไพรตามสูตรคนไทยที่ใช้กัน มักต้มโดยใส่น้ำลงไป 3 ส่วน
    แล้วต้มจนน้ำเหลือ 1 ส่วน(ต้ม 3 เอา 1) ยาสมุนไพรที่ได้จากการต้มให้กินวันละ 3 ครั้ง
    และควรกินยาสมุนไพรที่ต้มได้ในวันนั้นให้หมดแบบวันต่อวัน.

    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 6:16 pm

    ลักษณะอาการที่ไม่ควรใช้ยาสมุนไพร(ข้อยกเว้น)


    ยาสมุนไพรสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยได้ด้วยสรรพคุณที่มีอยู่ในตัวยาสมุนไพร
    แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีข้อยกเว้นที่ไม่ควรใช้ยาสมุนไพรกับลักษณะอาการเจ็บป่วยบางชนิด
    ที่มีระดับความรุนแรงของการเจ็บป่วยอย่างมากดังต่อไปนี้

    อาการไข้ขึ้นสูงมากและขณะหายใจมีเสียงเหมือนมีอะไรติดคอ หน้าซีดเขียว
    เหมือนขาดออกซิเจน ลักษณะอาการดังกล่าวอาจเป็นโรคคอตีบที่อันตรายมาก
    ต้องรีบส่งผู้ป่วยให้ถึงมือแพทย์โดยเร็วที่สุด

    อาการไข้สูง ตัวร้อนจัด ปากด้านในเปื่อย ตาแดง ซึม มีอาการเพ้อ-ละเมอ
    อาจเป็นลักษณะอาการของโรคปอดบวม ไข้หวัดใหญ่หรือไข้มาลาเรีย

    อาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเจ็บส่วนใดของร่างกายก็ตามเช่น
    ปวดหัวอย่างรุนแรงอาจเป็นโรคพยาธิในสมอง
    หรือเจ็บหน้าอกอย่างมากอาจเป็นอาการของโรคหัวใจ

    อาการไอหรืออาเจียนออกมาเป็นเลือด
    ลักษณะอาการแบบนี้เป็นอาการขั้นรุนแรงอาจมีสาเหตุจากโรคกระเพาะอาหารที่หนักมาก
    จนผนังกระเพาะอาหารทะลุ ต้องให้ผู้ป่วยนอนนิ่งๆแล้วพาไปพบแพทย์ด่วน

    อาการปวดท้องน้อยหรือบริเวณสะดือ ถ้าใช้นิ้วมือกดตรงที่เจ็บแล้วรู้สึกปวดมากขึ้น
    อาจเป็นอาการของโรคไส้ติ่งอักเสบต้องได้รับการผ่าตัดโดยเร็วที่สุด

    อาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ถ่ายบ่อยจนเกือบตลอดเวลาร่วมกับมีอาการปวดท้องมาก
    อาการเช่นนี้อาจเป็นอาการของโรคบิดหรืออาการท้องร่วงอย่างรุนแรง ถ่ายบ่อย
    ถ่ายจนอุจจาระเป็นน้ำสีเหมือนน้ำซาวข้าว ร่างกายสูญเสียน้ำมากจนอ่อนเพลียอาจถึงขั้นช็อคได้
    ควรไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด

    อาการมีเลือดออกจากช่องคลอด(ที่ไม่ใช่ประจำเดือน)
    ถ่ายปัสสาวะเป็นเลือดหรือเลือดออกจากบาดแผลที่ลึก
    ให้รีบทำการปฐมพยาบาลโดยการห้ามเลือดที่ไหลออกจากบาดแผล
    แล้วนำผู้ป่วยส่งแพทย์ให้เร็วที่สุด.



    เขียนโดย Choke Chira ป้ายกำกับ: ข้อควรระวังในการใช้ยาสมุนไพร



    ยาสมุนไพรไทยรักษาโรคหอบหืด(Asthma)


    โรคหอบหืด(Asthma) เป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
    เนื่องจากหลอดลมมีความไวที่ผิดปกติต่อสิ่งที่มากระตุ้นหลอดลม
    ทำให้เกิดการตีบตันของหลอดลม อาการหืดหอบมักเกิดในตอนกลางคืนจนถึงเช้ามืด
    มีสาเหตุจากสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรคหอบหืดเช่น สารก่อภูมิแพ้
    การเปลี่ยนแปลงของอากาศ การได้รับผลจากยาบางชนิด การแพ้อาหาร
    ได้รับสารระคายเคือง การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เช่น โกรธ เครียด ดีใจ

    ผู้ที่เป็นโรคหอบหืด เมื่อได้รับสิ่งกระตุ้นดังที่กล่าวมาแล้ว หลอดลม
    จะอักเสบเกิดการบวมของเยื่อบุหลอดลมทำให้หลอดลมแคบลงและตีบตัน
    กล้ามเนื้อหลอดลมหดเกร็งปิดกั้นทางเดินหายใจ อาการของโรคหอบหืดมักเริ่มจากการไอ
    หายใจลำบากและมีเสียงวี๊ดๆขณะหายใจ เจ็บแน่นบริเวณหน้าอก
    อาการโรคหอบหืดมักมีอาการเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ
    อาการจะดีขึ้นเมื่อได้รับยาแต่ถ้าอาการหืดหอบกำเริบขึ้นมาอย่างรุนแรง
    ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้

    การรักษาโรคหอบหืดขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค
    ถ้าเป็นยาแผนปัจจุบันมักเป็นยาที่ฉีดพ่นเพื่อขยายหลอดลมให้หายใจสะดวกขึ้น
    แต่ยาแผนปัจจุบันที่ใช้รักษาอาการหอบหืดมักมีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์
    ซึ่งมีอันตรายสูงมาก หากต้องการลดความเสี่ยงต่อการได้รับสารสเตียรอยด์
    ก็ควรใช้ยาสมุนไพรรักษาอาการหืดหอบควบคู่ไปกับการใช้ยาแผนปัจจุบัน
    ก็จะช่วยลดความถี่ของการได้รับสารสเตียรอยด์จากยาแผนปัจจุบันได้

    ยาสมุนไพรไทยที่ใช้บรรเทา-รักษาโรคหอบหืดคือ “ไพล”
    ที่มีรสเผ็ดร้อนอมฝาด โดยใช้ส่วนเหง้าไพลที่แก่จัด 10 ส่วน ดีปลี 4 ส่วน
    พริกไทยขาว 4 ส่วน พิมเสน 1 ส่วนและกานพลู 1 ส่วน
    บดสมุนไพรแต่ละอย่างให้ละเอียดแล้วผสมรวมกัน
    วิธีใช้ให้นำยาสมุนไพรที่บดผสมกันแล้ว 1 ช้อนชา
    ชงกับน้ำร้อนดื่มหรือจะทำเป็นยาสมุนไพรชนิดเม็ด(ยาลูกกลอน)
    โดยนำส่วนผสมที่บดละเอียดแล้วมาผสมกับน้ำผึ้งแล้วปั้นเป็นเม็ดยาลูกกลอน
    กินครั้งละ 3-4 เม็ด

    ข้อควรระวังของการใช้ยาสมุนไพรรักษาอาการหอบหืด
    ถึงแม้ว่าไพลจะเป็นพืชสมุนไพรที่สามารถนำมาใช้บรรเทา-รักษาอาการหอบหืดได้ดี
    แต่หากร่างกายได้รับไพลเข้าไปอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานอาจส่งผลต่อการทำงานของตับได้.


    เขียนโดย Choke Chira ป้ายกำกับ: สมุนไพรรักษาโรคทางเดินหายใจ
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 6:20 pm

    พืชสมุนไพรระงับกลิ่นปาก ฝรั่ง กานพลู


    คนที่มีกลิ่นปากมักได้รับการรังเกียจจากคนรอบข้าง(โดยไม่รู้ตัว)
    การมีกลิ่นปากอย่าเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยแล้วมองข้ามไป
    ควรหาสาเหตุของกลิ่นปากให้เจอแล้วแก้ไขที่สาเหตุของกลิ่นปากนั้นหรืออาจแก้ไขโดยใช้สมุนไพรที่ช่วยระงับกลิ่นปาก

    ก่อนจะใช้สมุนไพรระงับกลิ่นปาก ควรหาสาเหตุของการเกิดกลิ่นปากให้พบเสียก่อน
    เพราะการใช้สมุนไพรระงับกลิ่นปากไม่ใช่การแก้ไขที่ต้นเหตุที่แท้จริง
    เป็นเพียงการแก้ไขที่ปลายเหตุเท่านั้น สาเหตุของการเกิดกลิ่นปากมีหลายสาเหตุ
    เช่น ฟันผุ เหงือกอักเสบ การติดเชื้อในช่องปาก
    กลิ่นปากที่เกิดจากการมีเศษอาหารติดค้างอยู่ตามซอกฟัน
    การกินอาหารที่มีกลิ่นแรงเข้าไป การสูบบุหรี่และดื่มกาแฟมากๆ ฯลฯ
    ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นปาก

    การแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นปากให้แก้ไขที่ต้นเหตุก่อน
    เช่น กลิ่นปากที่เกิดจากฟันผุก็ให้ปรึกษาทันตแพทย์เพื่อทำการรักษาฟันผุหรือมีกลิ่นปาก
    เพราะเศษอาหารติดตามซอกฟันก็แก้ไขโดยการหมั่นทำความสะอาดฟันหลังกินอาหาร
    อาจใช้วิธีแปรงฟันหลังอาหารหรือใช้ไหมขัดฟัน
    เพื่อกำจัดเศษอาหารที่เป็นสาเหตุของกลิ่นปากออกไป
    การใช้สมุนไพรเพื่อระงับกลิ่นปากควรใช้ควบคู่ไปกับการรักษาสุขภาพของช่องปาก
    ฝรั่งเป็นสมุนไพรที่ใช้ระงับกลิ่นปากที่ให้ผลดี ส่วนที่นำมาใช้คือผลอ่อน
    หรือใบฝรั่งสดที่แก่หน่อย โดยหลังจากกินอาหารเสร็จแล้วให้ใช้ใบฝรั่งสด 2-3 ใบ
    เคี้ยวพอละเอียดสักครู่แล้วคายทิ้งหรือจะใช้ผลฝรั่งอ่อนกินสดๆ
    โดยไม่ต้องปอกเปลือกก็ให้ผลในการช่วยระงับกลิ่นปากได้ดีเช่นกัน

    สมุนไพรที่ช่วยระงับกลิ่นปากที่ได้ผลดีอีกชนิดหนึ่งคือ
    กานพลู ดอกกานพลูมีสรรพคุณแก้ปวดฟัน ช่วยขับลม มีกลิ่นหอมและรสเผ็ดร้อน
    ส่วนที่นำมาใช้ในการระงับกลิ่นปากคือ ดอกกานพลูแห้งที่ยังไม่ได้สกัดเอาน้ำมันออก
    โดยใช้ดอกกานพลูแห้ง 2-3 ดอกใส่เข้าไปในปากแล้วอมไว้ 1-2 นาที
    จึงคายทิ้งหรือจะเอาดอกกานพลูแห้งตำให้ละเอียดแล้ว
    ผสมกับยาสีฟันที่ใช้แปรงฟันเป็นประจำเพื่อระงับกลิ่นปาก

    การใช้สมุนไพรกานพลูหรือฝรั่งในการดับกลิ่นปาก
    ควรใช้ร่วมกับการรักษาความสะอาดของสุขภาพในช่องปากโดยการแปรงฟันทุกครั้งหลังมื้ออาหาร
    จึงจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นปากได้อย่างได้ผล.


    เขียนโดย Choke Chira ป้ายกำกับ: สมุนไพรรักษาโรคทางเดินอาหาร




    12 มีนาคม 2009

    ยาสมุนไพรรักษาโรคกระเพาะอาหาร(Peptic Ulcer)


    โรคกระเพาะอาหารเป็นโรคที่หากเกิดกับใครแล้วจะได้รับความทรมานมาก
    จะมีอาการปวดท้องบ่อยๆ ถี่ๆ โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกหิวขึ้นมาก็ปวดท้องหรือหลังจาก
    กินอาหารอิ่มแล้วก็ปวดท้อง สาเหตุของโรคกระเพาะอาหารเกิดจากเยื่อบุกระเพาะอาหาร
    อ่อนแอจนเกิดอักเสบเป็นแผลในกระเพาะอาหารหรืออาจเกิดจากความเครียดที่เรียกว่า
    “เครียดลงกระเพาะ” การพักผ่อนไม่เพียงพอ ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป
    การชอบกินอาหารรสเผ็ดมาก ฯลฯ

    การดูแลรักษาโรคกระเพาะอาหารทำได้โดย การปรับพฤติกรรม
    การกินอาหารร่วมกับการใช้ยาเสมุนไพร โดยให้กินอาหารจำนวนน้อยๆในแต่ละมื้อแต่ให้กินบ่อยๆ
    ควรดื่มนมถั่วเหลืองบ่อยๆ เพื่อช่วยเคลีอบกระเพาะอาหาร
    ส่วนการใช้พืชสมุนไพรช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารเช่น กล้วยน้ำว้า ขมิ้นชัน
    โดยนำผลกล้วยน้ำว้าดิบมาหั่นทั้งเปลือกแล้วนำไปตากแดดให้แห้ง
    หลังจากนั้นนำไปบดให้ละเอียดเป็นผง เก็บไว้ชงกับน้ำร้อนแล้วดื่มอุ่นๆ

    สรรพคุณของพืชสมุนไพรกล้วนน้ำว้าดิบจะมีรสฝาดช่วยเคลือบและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร

    พืชสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารคือ ขมิ้นชัน
    โดยใช้ส่วนที่เป็นเหง้าของขมิ้นชันนำไปตากแดดให้แห้งแล้วบดเป็นผงบรรจุใส่แคปซูลขนาด 500 มิลลิกรัม
    หรือจะปั้นเป็นยาลูกกลอนโดยผสมกับน้ำผึ้งนิดหน่อย
    วิธีกินผงขมิ้นชันชนิดแคปซูลหรือผงขมิ้นชันที่เป็นยาลูกกลอนคือ
    กินหลังอาหารและก่อนนอน ครั้งละ 2 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง พืชสมุนไพรขมิ้นชันโดยเฉพาะ
    เหง้ามีฤทธิ์ช่วยฆ่าเชื้อราและแบคทีเรีย ลดการอักเสบ บรรเทาอาการปวดท้อง
    เนื่องจากมีลมในกระเพาะอาหารและลำไส้

    ทั้งกล้วยน้ำว้าและผงขมิ้นชันเป็นพืชสมุนไพรที่หาได้ง่าย
    และสามารถนำมาใช้รักษา-บรรเทาโรคกระเพาะอาหารได้
    เนื่องจากเป็นพืชสมุนไพรที่ได้มาจากธรรมชาติจึงไม่มีพิษที่รุนแรง
    และไม่ทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนใดๆ
    แต่กลับมีประสิทธิภาพดีในการใช้เป็นยาสมุนไพรรักษา-บรรเทาโรคกระเพาะอาหาร.


    เขียนโดย Choke Chira ป้ายกำกับ: สมุนไพรรักษาโรคทางเดินอาหาร
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 6:27 pm

    กระเทียม(Garlic herbs) เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคกลากเกลื้อน


    กลากและเกลื้อน เป็นเป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยในประเทศไทย
    เนื่องจากอยู่ในเขตร้อนตามร่างกายจะมีเหงื่อออกมากในแต่ละวัน
    โรคกลากเกลื้อนเกิดจากเชื้อราอาจมีอาการคันบ้างเล็กน้อย
    ทำให้ผิวหนังเป็นวงๆ กลากจะเกิดขึ้นบ่อยกับผู้ที่มีเหงื่อออกมาก
    ไม่ระวังเรื่องความสะอาดของผิวหนังปล่อยให้ผิวหนังอับชื้นและมีสุขอนามัยไม่ดี
    เชื้อราที่เป็นสาเหตุของกลากมีหลายชนิดที่ทำให้เกิดโรคตามจุดต่างๆ ของร่างกาย
    เชื้อราถ้าเกิดที่เล็บมือ-เท้าจะเรียกว่า “ฮ่องกงฟุต” ถ้าเกิดบริเวณขาหนีบจะเรียกว่า
    “สังคัง” กลากเป็นโรคผิวหนังที่สามารถติดต่อกันได้ง่ายจากการสัมผัส
    หรือใช้ข้าวของเครื่องใช้ร่วมกับผู้ที่เป็นโรคกลากอยู่แล้ว

    โรคที่มีสาเหตุมาจากเชื้อราเช่น “กลาก” ต้องใช้เวลาในการรักษานานอย่างต่อเนื่อง
    ที่สำคัญคืออย่าปล่อยให้บริเวณที่เป็นกลากมีความอับชื้นจะทำให้รักษาให้หายขาดได้ยากมาก
    การรักษาที่ได้ผลดีต้องใช้ยาสมุนไพรทาบริเวณที่เป็นกลากควบคู่ไปกับการกินยาด้วยจึงจะได้ผลดี

    พืชสมุนไพรที่ใช้รักษากลากมีหลายชนิด กระเทียมก็เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง
    ที่หาได้ง่ายและใช้รักษาโรคกลากเกลื้อนได้ มีกลิ่นฉุนและรสเผ็ดร้อน
    ส่วนของกระเทียมที่นำมาทำเป็นยาสมุนไพรรักษาโรคกลากเกลื้อนคือ
    ส่วนที่เป็นหัวที่อยู่ใต้ดิน โดยนำกลีบกระเทียมมาฝานเป็นชิ้นบางๆหรือจะใช้วิธีตำแค่พอแหลก
    แล้วเอามาทาบริเวณผิวหนังที่เป็นกลากเกลื้อนทุกวันๆละ 2 ครั้ง
    เมื่อโรคกลากเกลื้อนมีอาการดีขึ้นแล้วให้ทาต่อเนื่องไปอีก 7-10 วัน

    การใช้กระเทียมเป็นยาสมุนไพรรักษาโรคกลากเกลื้อนให้ได้ผลเต็มที่
    ก่อนจะทากระเทียมให้ทำความสะอาดร่างกายให้ดีก่อนและเน้นพิเศษ
    ที่บริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนให้ใช้ใบมีดขูดบริเวณผิวหนังที่เป็นกลากเกลื้อนออกบางๆ
    แล้วจึงทาด้วยยาสมุนไพรกระเทียม

    ไม่เฉพาะแต่โรคกลากเกลื้อนเท่านั้น โรคผิวหนังอื่นๆที่มีสาเหตุมาจากเชื้อรา
    ต้องใช้ความอดทนในการรักษา การใช้ยาสมุนไพร(กระเทียม)ทาบริเวณ
    ที่เป็นกลากเกลื้อนต้องทาให้ทั่วถึงและสม่ำเสมอ ระยะเวลาในการรักษาค่อนข้างยาวนาน
    และต้องต่อเนื่องกันไป ถึงแม้อาการกลากเกลื้อนจะหายไปแล้วก็ต้องไม่ประมาท
    ควรใช้ยาสมุนไพรทาอย่างต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง การรักษาโรคกลากเกลื้อน
    โดยใช้ยาสมุนไพรต้องดูแลรักษาแบบให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ
    เพราะโรคที่เกิดจากเชื้อรามีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ง่ายๆ อย่าประมาท.


    เขียนโดย Choke Chira ป้ายกำกับ: สมุนไพรรักษาโรคผิวหนัง
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 6:30 pm

    กระเจี๊ยบแดงพืชสมุนไพรรักษาอาการขัดเบา-ปัสสาวะไม่ค่อยออก(Urinary System)


    อาการขัดเบาคือลักษณะอาการที่ปัสสาวะไม่ค่อยออก ปัสสาวะแบบกะปริบกะปรอย
    รู้สึกเหมือนปัสสาวะไม่สุด อาการขัดเบามีสาเหตุจากหลายประการเช่น
    โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคนิ่ว ต่อมลูกหมากโต โรคหนองในหรือดื่มน้ำน้อย ฯลฯ
    ทำให้การปัสสาวะเป็นไปอย่างยากลำบาก คนที่เป็นโรคขัดเบาจะปัสสาวะบ่อย
    และแต่ละครั้งที่ปัสสาวะจะมีน้ำปัสสาวะออกมาน้อย ที่แย่ไปกว่านั้น
    คือปวดอยากจะฉี่แต่ฉี่ไม่ค่อยออก(ไม่ได้ดั่งใจเลย)
    โรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะบางโรคจะมีอาการปวดเสียดท้องน้อย
    หรือปัสสาวะขุ่นแดงหรือปัสสาวะขุ่นขาวร่วมด้วย

    พืชสมุนไพรที่ช่วยบรรเทา-รักษาอาการขัดเบาได้มีหลายชนิดเช่น
    กระเจี๊ยบแดง ขลู่ ตะไคร้ หญ้าคา หญ้าหนวดแมว ฯลฯ
    การใช้พืชสมุนไพรกระเจี๊ยบแดงมารักษาอาการขัดเบาแต่อันที่จริงแล้ว
    สรรพคุณของดอกกระเจี๊ยบแดงสามารถใช้รักษาโรคที่เกี่ยวกับ
    ระบบทางเดินปัสสาวะได้หลายโรคเช่น โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
    โรคนิ่วในไตและช่วยละลายไขมันในเส้นเลือดด้วย

    ส่วนของพืชสมุนไพรกระเจี๊ยบแดงที่นำมาใช้ทำเป็นยารักษาอาการขัดเบา
    คือ ส่วนที่เป็นดอก(ได้ทั้งสดและแห้ง)โดยเอากลีบเลี้ยงมาตากแดดให้แห้ง
    หลังจากนั้นก็บดให้ละเอียดจนเป็นผงเก็บไว้ในขวดโหลแก้วที่แห้ง
    เวลาจะนำมาใช้ให้แบ่งผงกระเจี๊ยบแดงออกมาใช้ครั้งละ 1 ช้อนชา
    นำมาชงกับน้ำร้อนที่เดือด 1 ถ้วย(25 ซีซี) ดื่มวันละ 3 ครั้งติดต่อกันทุกวัน
    จนกว่าอาการขัดเบาจะหายไป

    ดอกกระเจี๊ยบแดงเป็นพืชสมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นยาระบาย
    อาจทำให้คนที่ดื่มน้ำกระเจี๊ยบท้องเสียได้เล็กน้อย
    คุณค่าและประโยชน์ด้านโภชนาการของพืชสมุนไพรกระเจี๊ยบแดงคือ
    ส่วนใบของกระเจี๊ยบแดงมีวิตามินเอ จะช่วยบำรุงทางด้านสายตา
    ส่วนกลีบเลี้ยงและกลีบดอกของพืชสมุนไพรกระเจี๊ยบแดงจะมีสารแคลเซียม
    ที่เป็นประโยชน์ในการบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง

    นอกจากนี้พืชสมุนไพรกระเจี๊ยบแดงในส่วนที่เป็นดอก
    ยังสามารถนำไปทำเป็นเครื่องดื่มแก้ร้อนในและบรรเทาอาการกระหายน้ำ
    ช่วยละลายไขมันในเส้นเลือดไม่ให้ไขมันจับตัวเป็นก้อน
    พืชสมุนไพรกระเจี๊ยบแดงมีสรรพคุณที่สำคัญคือช่วยขับปัสสาวะให้ออกมา
    ในปริมาณที่มากกว่าปกติ อาการขัดเบาหรือโรคระบบทางเดินปัสสาวะ
    หากรู้ตัวว่าเริ่มเป็น แล้วรีบหาทางรักษาแต่เนิ่นๆ
    ก็มีโอกาสมากที่จะรักษาโรคระบบทางเดินปัสสาวะให้หายได้โดยใช้พืชสมุนไพรไทย.


    เขียนโดย Choke Chira ป้ายกำกับ: สมุนไพรรักษาโรคระบบขับถ่าย
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 6:32 pm

    "ไพล"(Herb for Sprain Injury) พืชสมุนไพรรักษาอาการเคล็ดขัดยอก ฟกช้ำ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ


    อาการเคล็ดขัดยอก เกิดจากการถูกบิดอย่างแรง หกล้มหรือถูกกระแทก
    ทำให้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นรอบๆข้อมีการฉีกขาดหรือฟกช้ำ เกิดอาการบวมแดง
    ปวดรอบๆบริเวณข้อหรือรู้สึกเคล็ดยอกบริเวณกล้ามเนื้อที่พบมากคือบริเวณข้อไหล่
    ข้อเข่า ข้อมือและข้อเท้า อาการเคล็ดขัดยอกดังกล่าวคงอยู่นานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน
    อาการเคล็ดขัดยอกนี้สามารถบรรเทา-รักษาได้โดยใช้พืชสมุนไพรคือ “ไพล”

    ไพล เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบ รักษาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
    เคล็ดขัดยอกได้ โดยใช้ส่วนที่เป็นเหง้าของไพลที่เรียกว่า “เหง้าไพล” ที่แก่จัด 1 เหง้า
    ล้างน้ำให้สะอาดแล้วเอามาตำจากนั้นคั้นเอาน้ำมาทา นวดบริเวณที่มีอาการเคล็ดขัดยอก
    ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ น้ำที่คั้นได้จากเหง้าไพลมีฤทธิ์ทำให้ปลายประสาทชา
    ด้วยสรรพคุณข้อนี้จึงช่วยบรรเทา-รักษาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้

    การรักษาอาการเคล็ดขัดยอกโดยใช้พืชสมุนไพร “ไพล”
    อีกวิธีหนึ่งคือการเอาไพลมาทำเป็นลูกประคบ โดยนำเหล้าไพลมาตำให้ละเอียด
    ใส่เกลือป่นเล็กน้อยแล้วนำพืชสมุนไพรที่ตำละเอียดแล้วมาห่อทำเป็นลูกประคบ
    เอาไปอังไอน้ำให้ความร้อนแล้วใช้ประคบบริเวณที่เคล็ดขัดยอก
    ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและฟกช้ำวันละ 2 เวลา เช้า-เย็นจนอาการดีขึ้น

    หากมีอาการเคล็ดขัดยอกหรือฟกช้ำพยายามให้ร่างกายส่วนที่เกิดอาการนั้นอยู่นิ่งๆให้มากที่สุด
    การใช้ยาสมุนไพรถู-นวดหรือประคบร้อนด้วยลูกประคบสมุนไพรควรทำอย่างเบามือ
    ด้วยน้ำหนักมือที่พอดี อย่าถู-นวดบริเวณที่เคล็ดขัดยอก
    ฟกช้ำแรงเกินไปเพราะจะทำให้อาการฟกช้ำหรือเคล็ดขัดยอกนั้นยิ่งเป็นหนักขึ้น
    การถูนวดหรือการประคบทำเพื่อให้ตัวยาสมุนไพรซึมเข้าไปในบริเวณกล้ามเนื้อ
    เอ็นที่อักเสบเพื่อให้สรรพคุณของตัวยาสมุนไพรได้
    ทำหน้าที่ในการบรรเทารักษาอาการเคล็ดขัดยอก ฟกช้ำ
    จึงไม่จำเป็นต้องถูนวดอย่างแรงก็มีผลในการรักษาเหมือนกัน.


    เขียนโดย Choke Chira ป้ายกำกับ: สมุนไพรรักษาโรคอื่นๆ
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 6:38 pm

    รวมสูตรยาอายุวัฒนะ


    ในยุคสมัยที่ค่าใช้จ่าย ค่ารักษาพยาบาลค่อนข้างสูง
    คนส่วนใหญ่หันมาดูแลสุขภาพกันถ้วนหน้า
    สมุนไพรไทยถือว่าขึ้นชื่อในเรื่องยาอายุวัฒนะ
    วันนี้ได้อ่านบทความที่น่าสนใจ มีประโยชน์ กับคนที่คิดว่าอยากจะอายุยืน อยู่นาน ๆ

    สมุนไพรสูตรยาอายุวัฒนะด้วยมะขามป้อม
    1. ใช้ผลมะขามป้อมที่แก่จัด 1 ผล เอาเฉพาะเนื้อตำให้ละเอียดใส่เกลือ
    ใส่น้ำผึ้งพอชุ่ม อม ไว้ แล้วค่อยๆกลืน
    2. ผลมะขามป้อม 1 กำมือ ทุบให้แตกก่อนต้มกับน้ำ 3 แก้ว
    ต้มให้เหลือ 1 แก้ว แล้วจิบในขณะอุ่นๆ
    *************
    สมุนไพรสูตรยาอายุวัฒนะด้วยบอระเพ็ด
    วิธีใช้ บอระเพ็ดใช้เถาบอระเพ็ดหั่นตากแล้วบดเป็นผงผสมกับน้ำผึ้งปั้น
    เป็นลูกกลอนกินก่อนนอน วันละ 2-4 เม็ด
    ****************
    สมุนไพรสูตรยาอายุวัฒนะด้วยเหงือกปลาหมอ

    วิธีใช้ ใช้เหงือกปลาหมอล้างให้สะอาดตากให้แห้ง
    บดเป็นผงผสมกับพริกไทยป่น 1 ส่วน และใส่น้ำผึ้งอีก 1 ส่วนคลุกให้เข้ากัน
    ปั้นเป็นลูกกลอนกินวันละ 2-4 เม็ด ก่อนนอน
    ******************
    สมุนไพรสูตรยาอายุวัฒนะด้วยกล้วยน้ำว้า

    วิธีใช้ ใช้กล้วยน้ำว้าสุกงอมปอกเปลือกแช่ในน้ำผึ้งอย่างน้อย 1 สัปดาห์
    กินวันละ 1-2 ผล ทุกวัน
    *************

    ที่มา http://www.oknation.net/blog/print.php?id=5713


    กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ร่วมวิจัยกับสถาบันพฤกษศาสตร์จีน
    ค้นคว้าสูตรสมุนไพรต้านไวรัสเอดส์ เผยผลทดลองในกลุ่มผู้ติดเชื้อ
    พบจำนวนไวรัสลดลงและปริมาณเม็ดเลือดขาวเพิ่ม
    หวังเป็นทางเลือกสำหรับผู้แพ้ยาต้านไวรัสรุนแรง ด้าน อย.
    ไฟเขียวขึ้นทะเบียนยาแผนโบราณเรียบร้อยแล้ว

    น.พ.สมชาย แสงกิจพร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทางคลินิก
    กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัย
    เปิดเผยว่า หลังจากที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ลงนามร่วมมือกับ
    สถาบันพฤกษศาสตร์แห่งเมืองคุนหมิง ประเทศจีน
    ดำเนินการวิจัยตัวยาสมุนไพรเสริมภูมิคุ้มกันมาเป็นเวลา 6 ปี
    พบว่างานวิจัยสามารถควบคุมระดับเชื้อเอชไอวี และช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอดส์ดำรงชีวิตได้ดีขึ้น

    ตัวยาดังกล่าวประกอบด้วยพืชสมุนไพรจากประเทศจีน 3 ชนิด
    ประกอบด้วย "อิงเฉิน" มีสรรพคุณฆ่าไวรัส "หวงฉี"
    มีสรรพคุณเพิ่มภูมิต้านทาน และ "กันเฉ่า" (ชะเอมเทศ)
    มีสรรพคุณฆ่าเชื้อไวรัส นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรจากไทยอีก 2 ชนิด
    ได้แก่ เปลือกรากหม่อนมีสรรพคุณฆ่าไวรัสเช่นเดียวกัน
    และดอกคำฝอย มีสรรพคุณทำให้โลหิตหมุนเวียนดี

    "ผลการทดลองในระยะ 1 และ 2 กับผู้ติดเชื้อ 28 คน
    พบว่าสมุนไพรดังกล่าวไม่มีพิษในคน และสามารถลดปริมาณไวรัสเอชไอวี
    จากการตรวจสอบทุก 2 สัปดาห์ พบอาสาสมัคร 12 คนปริมาณไวรัสลดลง
    อีก 16 คนปริมาณไวรัสเท่าเดิม ส่วนการทดลองในคนระยะ 3
    มีผู้ติดเชื้อเข้าร่วม 120 คน ไม่พบอาการแพ้ยาสมุนไพร
    และส่วนใหญ่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายดีขึ้น" หัวหน้าโครงการวิจัย กล่าว

    อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนและแน่นท้อง
    ถือเป็นอาการปกติของการใช้ยาและไม่เป็นอันตราย
    โดยสูตรยาสมุนไพรนี้เหมาะสำหรับผู้ติดเชื้อที่แพ้ยาต้านไวรัสหลัก
    กลุ่มที่ทนฤทธิ์ยาไม่ไหวและกลุ่มไม่มีอาการ เพื่อบำรุงร่างกายและเสริมภูมิคุ้มกัน

    ด้าน น.พ.พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
    กล่าวว่า จากความร่วมมือดังกล่าว ประเทศไทยจะได้ประโยชน์ใน
    ส่วนการถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตยาสมุนไพรต้านไวรัสเอชไอวี
    จากสถาบันพฤกษศาสตร์แห่งเมืองคุนหมิง รวมทั้งผลประโยชน์
    ที่เกิดจากการใช้สิทธิบัตรยาร่วมกัน แต่ในส่วนการผลิตนั้นยังอยู่ในประเทศจีน
    ซึ่งจะจัดส่งมาให้ประเทศไทย

    อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันตัวยาดังกล่าวได้รับการขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยา
    กระทรวงสาธารณสุข เป็นยาแผนโบราณเรียบร้อยแล้ว
    และมูลนิธิกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะเป็นผู้จัดจำหน่าย
    คาดว่าสามารถวางตลาดได้ภายใน 2-3 เดือนนี้

    http://www.komchadluek.net/news/2006...-19629817.html
    __________________
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 6:43 pm

    อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

    1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ
    ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์
    หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น
    การตรวจโดยขูด > เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรว จด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้

    2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์
    หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง

    3. มะเร็งรังไข่ อาการ
    ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์
    มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการ ปวดหลัง

    4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย)
    อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว
    หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ
    และมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่าง
    ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดู
    จะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง

    5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ
    มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ
    เจ็บหน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    6. มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร
    น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นไ! ด้ชัด

    7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

    8. มะเร็งสมอง อา การ ปวดศีรษะนาน ๆ
    และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า
    และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ
    การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงาน
    เช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว
    ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณ
    เคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

    9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก
    หรือ ทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษาหรือ
    เป็นแผล เรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลา นาน

    10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที
    มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบากหรือมีการขยายตัวของต่อมใน
    ลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้

    11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร
    อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวด เร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยบ่อย
    รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกต! ื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

    12. มะเร็งทรวงอก
    อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวม
    หรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้
    บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10
    คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอก โดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น
    เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์
    ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่

    13. มะเร็งลำไส้ อาการ
    น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ
    มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ ****
    ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับ
    แล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคือ
    อาการของริดสีดวงทวาร แต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้

    14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
    อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้
    เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย

    15. มะเร็งผิวหนัง
    อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจน
    ไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง
    ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา
    (Melanoma) คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น
    กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ด
    ทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อน
    คุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ

    ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล

    ตำรานี้ใช้แก้โรคมะเร็งผู้เป็นมะเร็งจะหายโดยไม่คาดคิด สำหรับมะเร็งจะหายภายใน
    6 วัน วิธีรักษา - ไปที่ร้านย าจีน ซื้อหัวเตย 1 ตำลึง หัวขิง 1 ตำลึง ก้อนเกลือ 3 ก้อน
    นำมารวมกันแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วัน ในน้ำ 1 ชาม จากนั้นให้ดื่มจนหมดชาม
    สรรพคุณในการรักษา - หลังจากดื่มยานี้แล้วควรดื่มน้ำตามมาก ๆ
    นำส่วนที่เหลือมารับประทาน
    ยานี้จะขับเอาของเสียออกทางอุจจาระหรือปัสสาวะไม่ต้องตกใจ
    เป็นการขับของเสียออกหมดแล้วจะปกติ

    ขอให้ทุกคนแข็งแรงกันทุกๆคนเลยนะค่ะ เหนือยก็พักกันบ้างนะค่ะ
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 6:51 pm

    สูตรยาสมุนไพรแก้“โรคภูมิแพ้”ใช้แล้วได้ผลดีสามารถทำให้อาการภูมิแพ้ ทุเลาลงและดีขึ้นเรื่อยๆ

    ส่วนประกอบ
    ขิงแห้ง 30 กรัม
    ดอกดีปลีแบบแห้ง 30 กรัม
    เหง้าตะไคร้แห้ง 30 กรัม
    ใบหนุมานประสานกายแบบสด 40 ใบ
    วิธีใช้ เอาตัวยาทั้งหมดน้ำมาต้มรวมกัน ใส่น้ำกะตามสายตา
    แล้วดื่มขณะอุ่น เช้า- เย็น ก่อนอาหารครั้งละครึ่งแก้ว กินไปเรื่อยๆทุกวัน
    จนกว่ายาจะจืด จึงเปลี่ยนยาใหม่ จะเป็นยาช่วยแก้โรคภูมิแพ้ หลอดลมอักเสบ
    มีเสมหะมากได้ โดยจะขับเสมหะออกหมด ทำให้หายใจโล่ง
    ซึ่งสูตรนี้สามารถทำดื่มได้กับทุกธาตุเจ้าเรือน
    สมัยก่อนหมอยาพื้นบ้านนิยมใช้รักษาผู้มีอาการโรคภูมิแพ้อย่างแพร่หลาย

    สูตรยา แก้โรคหอบหืด
    ส่วนประกอบ
    - มะขามป้อม 30 กรัม
    - มะขามเปียก30 กรัม
    - น้ำผึ้งปรับได้ตามความเหมาะสม
    - เกลือปรับได้ตามความเหมาะสม
    วิธีใช้นำส่วนประกอบดังกล่าวนำมาโขลกรวมกันให้เข้าที่แล้วนำมาปั้นเป็นลูกกลอน
    แล้วนำมาตากแดด(เมื่อมีอาการหอบหืดรับประทานครั้งละ 1 เม็ด)
    สรรพคุณแก้หอบหืด

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 1_5บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 2_3
    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 3_4บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 4_3
    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 5_3บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 6_4




    ที่มา http://www.utts.or.th/con_001.php?a_id=27
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 6:55 pm

    พบสมุนไพรใหม่ คาวตอง ทางเลือกสู้ไข้หวัด 2009

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 9090

    ผอ.สนช. เผยเป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านของไทยตระกูลเดียวกับพลู พบมากทางภาคเหนือ
    ได้รับความนิยมมากในเกาหลี อินเดีย และอาเซียน ขอเวลาวิจัย-พัฒนา 2 ปีเชื่อ ต้านเชื้อไวรัสชนิดอื่นๆ ได้

    วันนี้ (28 พ.ค.) นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ(สนช.)
    กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวว่า ขณะนี้ สนช.
    สนับสนุนงบประมาณการวิจัยพืชสมุนไพรทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคต่างๆ
    โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ รวมทั้งเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009
    ล่าสุด ได้มีการค้นพบสมุนไพรพื้นบ้านที่เรียกว่า คาวตอง หรือ พลูคาว
    เป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านของไทยตระกูลเดียวกับพลู พบมากทางภาคเหนือของประเทศ

    ลักษณะเป็นพืชล้มลุกชนิดเถา มีกลิ่นค่อนข้างคาวเหมือนคาวปลา
    แต่มีคุณสมบัติพิเศษในการรักษาการติดเชื้อ รักษา แผล
    รักษามะเร็ง ต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ สมุนไพรดังกล่าวชาวบ้าน
    ทางภาคเหนือนิยมนำไปเป็นส่วนผสมของอาหาร แต่ไม่ได้รับความนิยมมาก
    เพราะมีกลิ่นแรง ไม่หอมเหมือนใบโหระพา และ กระเพรา ทำให้ไม่เป็นที่นิยม
    อย่างไรก็ตาม สมุนไพรดังกล่าวได้รับความนิยมมากในประเทศเกาหลี อินเดีย
    และกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    ในการนำสมุนไพรดังกล่าวไปรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง
    โรคริดสีดวงทวาร โรคติดเชื้อ เป็นต้น

    นายศุภชัย กล่าวต่อว่า การสนับสนุนพืชสมุนไพรดังกล่าวเพื่อพัฒนาสมุนไพรไทย
    ที่มีคุณสมบัติในการรักษาโรคให้เป็นยาที่ได้รับการยอมรับ
    โดย สนช. ได้ร่วมกับ นพ.กำพล ศรีวัฒนกุล ประธานบริษัท ไบโอคอนซัลท์ จำกัด
    ดำเนินการวิจัยสมุนไพรคาวตอง โดยจะศึกษาคุณสมบัติเชิงลึกว่าทำงานได้อย่างไร
    และมีประโยชน์ในการต้านไวรัสชนิดใดได้บ้าง คาดว่าใช้เวลาการวิจัยและพัฒนา 2 ปี

    ด้าน นพ.กำพล กล่าวว่า ตนเตรียมหารือกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
    กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    และมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อศึกษาคุณสมบัติของคาวตอง ว่า
    สามารถนำมาพัฒนาเป็นยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้หรือไม่
    เชื่อว่าจะสามารถต้านเชื้อไวรัสชนิดอื่นๆ ได้เช่นกัน โดยเฉพาะเชื้อเอชไอวี
    โดยอาจต้องใช้ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น เช่น ฟ้าทะลายโจน
    มีคุณสมบัติเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย อย่างไรก็ตาม ในต้นเดือนมิ.ย.นี้
    ตนจะหารือกับกลุ่มแพทย์จากประเทศญี่ปุ่น นำโดย นพ.ฮิราชิ
    เพื่อที่จะพัฒนาวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
    เนื่องจากกลุ่มแพทย์ดังกล่าวกำลังมองหาเครือข่ายจากประเทศต่างๆ ประเทศไทยก็สนใจเช่นกัน
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 6:59 pm

    ตำราไม่ล้างไต กับ ผู้ป่วยเป็นโรคไต

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? 15


    ให้พ้นทุกข์จากการฟอกไตด้วย จะเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง เรื่อง ตำราไม่ล้างไต

    ถ้าข้าพเจ้าได้รับตำรานี้เมื่อ 25 ปีก่อน ลูก ๆ คงไม่ต้องมาร้องเพลงชื่อ “คนอื่นมีแม่ ฉันไม่มี”

    การที่จะเอาเมล็ดลิ้นจี่มาทำยานั้นง่ายมากสำหรับข้าพเจ้าเพราะที่บ้าน ปลูกต้นลิ้นจี่กว่า 50 ปีแล้ว

    แต่ไม่รู้ว่ามันคือยาวิเศษในการรักษาโรคไต
    คู่ชีวิตของข้าพเจ้าต้องทรมานเสียเวลา 14 ปีในการฟอกไตและในที่สุด ก็ต้องจากไป

    ในไต้หวันมีผู้คนป่วยเป็นโรคไตจำนวนมากที่ต้องทำการฟอกไต
    การที่ต้องไปฟอกไตเพราะไตเสื่อมลง

    จนไม่มาสามารถขับถ่ายของเสียออก บางทีญาติหรือเพื่อนของท่านบางคนกำลังฟอกไตอยู่

    จึงอยากให้ท่านช่วยเผยแพร่ตำราวิเศษออกไปให้ทั่ว จะเป็นบุญกุศล ยิ่ง

    คนที่นำไปทดลองใช้จะมีแต่ได้ ไม่มีเสียอย่างแน่นอน ช่วยได้ 1 คน เท่ากับช่วยทั้งครอบครัว

    ข้าพเจ้าเป็นโรคไตเพราะเป็นโรคเบาหวานนาน 20 ปี ความเป็นทุกข์ทรมานนี้

    ทำให้ข้าพเจ้าเบื่อต่อชีวิต และคิดจะจบชีวิตตนเองหลายครั้งแต่มาคิดได้ว่า
    ถ้าเราพ้นทุกข์แล้วทำให้หลายคนต้องรับทุกข์ต่อ

    ลูกหลานหลายคนยังเรียนไม่จบ ยังตั้งตัวไม่ได้ เลยรับกรรมไปฟอกไตต่อ

    มีคนเสนอตำราลับ ตำราวิเศษให้ แต่ไม่เคยเชื่อ
    ข้าพเจ้าเชื่อแต่แพทย์แผนปัจจุบัน จึงเดินเข้าห้องฟอกไต ขอสู้กับมัจจุราชต่อไป

    ข้าพเจ้าเกิดนึกถึงคำพังเพยจีนว่า “ม้าตายแล้ว ให้นึกว่ารักษาม้าเป็น”
    บางทีชีวิตนี้อาจมีความหวัง จึงขอทดลอง หลังฟอกไตครั้งที่ 2

    แล้วคุณน้ามาเยี่ยมถามว่ าอยากลองตำราวิเศษไหม
    รับรองไม่ต้องฟอกไตอีกต่อไป ข้าพเจ้าก็ตกลงทันที

    ตอนบ่ายคุณน้านำซุปเส้งจี้มา 1 หม้อแบ่งดื่ม 2 ครั้ง
    วันที่ 2 นำมาอีก 1 หม้อ (ราว ชามครึ่ง) พร้อมให้กินเส้งจี้อีก ครึ่งลูก

    ในวันนั้น ปรากฏว่าการถ่ายปัสสวะดีขึ้น
    พอวันที่ 3 ซึ่งจะต้องฟอกไต แต่หมอตรวจแล้วว่าวันนี้ยังไม่ต้องฟอกก่อน

    ข้าพเจ้าได้ดื่มซุปเส้งจี๊ประมาณ 1 อาทิตย์ ไปตรวจอีก
    คราวนี้หมอประหลาดใจมาก แจ้งว่าไตปกติแล้ว ไม่ต้องฟอกแล้ว

    ตำราวิเศษมีดังนี้.--

    เมล็ดลิ้นจี่สด 7 เม็ด ทุบให้แตกแล้วใช้ผ้าขาวอย่างบาง ๆ ห่อไว้

    ซื้อเส้งจี๊หมู 1 ลูก หั่นเป็นแผ่นบางล้างให้สะอาดตัดเอาเอ็นสีขาวออก

    เอาน้ำซาวข้าวครั้งที่ 2 จำนวน 2 ชาม นำเข้าใส่ในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า

    ทำการนึ้งเป็นเวลา 30 นาที เสร็จแล้วให้ดื่มหมดครั้งเดียวก็จะได้ผล

    ข้าพเจ้าได้พ้นจากฟอกไตเพราะตำรานี้ จึงขอความกรุณาทุกท่าน

    ช่วยเผยแพร่ตำรานี่แก่ผู้ป่วยเป็นโรคไต ให้พ้นทุกข์จากการฟอกไตด้วยจะเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง


    ที่มา Forward Mail
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 7:03 pm


    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Ipomoea1

    ผักบุ้ง : บำรุงสายตา ถอนพิษ ช่วยขับถ่าย ประโยชน์ของผักกำละ 5 บาท (ไทยโพสต์)

    ใครอยากมีสายตาดี อยากถนอมสายตาไว้ใช้ชั่วชีวิต สิ่งสำคัญคือต้องบำรุงรักษา
    กินอาหารที่ช่วยในการบำรุงสายตาอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงปัจจัย
    ที่จะทำให้ดวงตาเสื่อมก่อนวัย เช่น แสงแดด ลม คอมพิวเตอร์ การดูทีวีนาน ๆ
    การใช้สายตาในช่วงที่แสงไม่เพียงพอ สิ่งเหล่านี้ล้วนเอื้อให้เกิดปัญหากับสายตาทั้งสิ้น

    สำหรับอาหารสมุนไพรที่ขึ้นชื่อในการบำรุงสายตา คือ
    ผักบุ้ง เป็นผักที่มีวิตามินเอสูง ช่วยในการบำรุงสายตา แม้จะมีผักตัวอื่น ๆ
    ที่มีวิตามินเอเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้รับการระบุว่าเป็นผักบำรุงสายตาอย่างผักบุ้งเลย
    คนโบราณแนะลูกหลานกินผักบุ้งตาหวาน แม้ว่าจะไม่รู้ว่าผักบุ้งมีวิตามินเอ
    ที่มีประโยชน์ต่อสายตาก็ตามแต่ ผักบุ้งจึงได้ชื่อว่าเป็นผักที่เป็นมิตรกับสายตา

    สรรพคุณระบุว่า แก้ตาฟางหรือตาบอดกลางคืนได้ดี ช่วยให้หายแสบตาจากอาการตาแห้ง และลดอาการปวดกระบอกตาในกรณีที่ใช้สายตาเยอะ ๆ ถ้าช่วงนี้ใครที่รู้สึกว่าปวดตา ใช้สายตาเยอะ ตาแห้ง และค่อนข้างล้า ลองกินผักบุ้งเยอะ ๆ แล้วจะพบว่ามันช่วยได้จริง ๆ

    การกินผักบุ้งไม่ว่าจะผักบุ้งไทย ผักบุ้งจีน ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการบำรุงสายตาทั้งสิ้น
    ถ้าใครที่กินผักบุ้งมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนอายุมากขึ้นก็จะยังคงมีสายตาดี
    ไม่มีปัญหาเรื่องสายตายาว และเชื่อว่ากินประจำยังช่วยป้องกันต้อกระจกได้ด้วย
    ดังนั้น ผู้ปกครอง คุณพ่อ คุณแม่ ควรให้ลูกได้กินผักบุ้งเยอะ ๆ หรืออย่างสม่ำเสมอ
    ให้ได้รับสารบำรุงสายตาตั้งแต่เด็ก ๆ เป็นการบำรุงอย่างสะสมทรัพย์
    จะเป็นการช่วยให้ลูกหลานมีสายตาดีจนชั่วชีวิตของพวกเขา

    ในทางโภชนาการผักบุ้งยังมีสารสำคัญอื่น ๆ นอกเหนือจากวิตามินเอที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อาทิ แคลเซียม วิตามินซี เส้นใยอาหาร คาร์โบไฮเดรต เหล็ก ฟอสฟอรัส มากน้อยแตกต่างกันไป

    ในทางการแพทย์แผนไทย ระบุว่า ผักบุ้งมีรสเย็น มีสรรพคุณถอนพิษสำแดงต่าง ๆ
    หรือช่วยในการขับสารพิษอออกจากร่างกายได้
    หมอแผนไทยบางท่านแนะให้นำมาใช้ในการขับพิษ
    สำหรับเกษตรกรที่ใช้สารเคมีทางการเกษตร ซึ่งจะได้รับสารพิษอันตราย
    หรือใช้ในการบำบัดรักษาผู้ป่วยติดยาเสพติด ในกรณีนี้อาจใช้กับตัวยาอื่น ๆ
    ตามตำรับของหมอแต่ละคนเพื่อช่วยขับพิษและฤทธิ์ของยาเสพติด
    หรือในกรณีที่กินสารพิษ กินเห็ดพิษ ร่างกายได้รับสารตะกั่ว สารหนู
    โดยแนะให้เอาผักบุ้งแดงต้มเอาน้ำดื่มเป็นประจำ


    สรรพคุณ ของผักบุ้งช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกาย โดยเฉพาะผักบุ้งแดง
    ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยกินกันเพราะมีรสเฝื่อน จึงนิยมนำไปกินกับส้มตำมะละกอ
    คนในเมืองที่ชีวิตต้องเผชิญกับมลพิษในอากาศ อาหาร
    ลองเอาผักบุ้งแดงมาทำเป็นชาไว้ดื่ม เพื่อช่วยขับสารพิษจากร่างกายก็น่าจะเหมาะไม่น้อย
    หรือใช้ผักบุ้งต้มอาบ หรืออบร่วมกับสมุนไพรตัว ๆ ก็จะช่วยขับพิษออกทางรูขุมขน

    ส่วนกรณีที่ใครท้องผูกเป็นประจำขับถ่ายไม่ออก แนะให้กินผักบุ้งสดหรือผักบุ้งลวก
    จิ้มกับน้ำพริกในมื้อเย็น ส่วนน้ำต้มผักก็สามารถใช้ดื่มได้ ผักบุ้งจะช่วยให้อุจจาระนิ่ม
    และช่วยขับของเสียพร้อมดูดซับเอาของเสียนั้นออกมาพร้อมในกระบวนการขับถ่าย
    ด้วย กินผักบุ้งเป็นประจำจะช่วยปัดกวาดทำความสะอาดเอาของเสียที่ตกค้างในลำไส้ออก
    มาด้วย ช่วยให้การดูดซึมอาหารดีขึ้น

    สรรพคุณส่วนต่าง ๆ ของผักบุ้ง คือ

    ราก ใช้ถอนพิษ แก้ผิดสำแดง แก้โรคตา แก้ตกขาวในสตรี แก้ปวดฟันเนื่องจากฟันเป็นรู
    แก้ไอเรื้อรัง แก้เหงื่อออกมาก แก้บวม แก้พิษงูเห่า

    เถา ถอนพิษ แก้พาเบื่อเมา ถอนพิษยาทั้งปวง แก้ตาฟาง แก้โรคตา

    ยอดอ่อน ถอนพิษ รักษาริดสีดวงทวาร แก้เด็กเป็นหวัด

    ใบ แก้พิษขนของบุ้ง รักษาริดสีดวงทวาร ถอนพิษยาเบื่อเมา แก้ตาฟาง แก้พิษฝี ปวด อักเสบ

    ดอกตูม รักษากลากเกลื้อน

    ทั้งต้น รักษาตาแดง รักษาตาฟาง รักษาตามัว แก้เบาหวาน
    แก้ปวดศีรษะ แก้ผิวหนังผื่นคัน แก้กลากเกลื้อน เป็นยาระบาย แก้ไข้
    แก้โรคนอนไม่หลับ ถอนพิษ แก้พิษเบื่อเมา

    ตัวอย่างในการใช้ผักบุ้งรักษาโรคต่าง ๆ ได้แก่

    แก้เลือดกำเดาออกมากผิดปกติ ใช้ต้นสดตำผสมน้ำตาลทรายชงน้ำร้อนดื่ม

    แก้หนองใน ปัสสาวะเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด ใช้ลำต้นตำคั้นนำน้ำมาผสมกับน้ำผึ้งดื่ม

    แก้ริดสีดวงทวาร ใช้ต้นสด 1 กิโลกรัม กับน้ำ 1 ลิตร ต้มให้เละ
    เอากากทิ้งใส่น้ำตาลทรายขาว 120 กรัม เคี่ยวให้ข้นเหนียว ทานครั้งละ 90 กรัม
    วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จนหาย

    แก้แผลมีหนองช้ำ ใช้ต้นสดต้มน้ำให้เดือดนาน ๆ ทิ้งไว้พออุ่นเอาน้ำล้างแผลวันละครั้ง

    แก้พิษตะขาบกัด ใช้ต้นสดเติมเกลือ ตำพอกแผล

    ฟันเป็นรู ปวด ใช้รากสด 120 กรัม ผสมน้ำส้มสายชู คั้นนำน้ำอมบ้วนปาก

    ผักบุ้งยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายอีกเยอะแยะมากมาย ราคาก็ถูก
    ตามตลาดส่วนใหญ่ขายกำละ 5 บาท หรือบางบ้านก็ปลูกไว้กินเอง
    บางแห่งขึ้นเกลื่อนตามห้วยหนองคลองบึงต่าง ๆ หรือที่ว่างเปล่า
    โดยเฉพาะหน้าหนาวผักบุ้งแดงตามทุ่งนาออกดอกสีม่วงสีขาวท้าลมหนาว
    อย่างไม่รู้หนาวเหน็บ ลองนำผักบุ้งมาทำเครื่องดื่ม
    โดยเอาผักบุ้งมาปั่นรวมกับผักอื่น ๆ เช่น บัวบก ตำลึง ย่านาง
    หญ้าปักกิ่ง กรองเอาแต่น้ำ ปรุงแต่งรสด้วยน้ำมะพร้าวอ่อน หรือน้ำอ้อย
    รสชาติอร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างยิ่ง

    อาหารมื้อต่อไป อย่าลืมให้โอกาสผักบุ้งได้ทำหน้าที่ของผักที่ดีต่อสุขภาพของท่านด้วย






    ขอขอบคุณข้อมูลจาก

    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 7:06 pm

    รักษาโรควิถีธรรมชาติบำบัดแบบหมอเขียว

    1. บทนำ

    เวลาไม่สบายเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็ไปหาหมอแผนปัจจุบัน หากเกิดจากเชื้อโรค
    บาดเจ็บ อย่างนี้หมอแผนปัจจุบันถนัด แต่หากเป็นโรคที่เกิดจากตัวเอง เรื้อรัง
    เหตุมักมาจากการกินอาหาร สังคมแย่อยู่ในสิ่งแวดล้อมไม่ดี อารมณ์ตัวเองเครียด
    ปรับสมดุลตัวเองกับสิ่งแวดล้อมไม่ได้ เช่น เนื้องอก มะเร็ง ปวดหัวไร้สาเหตุ เบาหวาน
    โรควัยทอง อย่างนี้ไปหาหมอเขียวบำบัดโรคด้วยอาหาร อากาศ และอารมณ์จะดีกว่า

    พูดสั้นๆ ก็คือ หากรักษาโรคที่ไม่ใช่โรคติดต่อกับหมอแผนปัจจุบันไม่หาย เรื้อรัง
    ก็ให้แนะนำมาที่หมอเขียวเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งแนวธรรมชาติบำบัดก็มีหลายค่าย
    แบบระดับคนจน จนถึงระดับมีอันจะกินก็มี แต่แนวที่แนะนำคือ
    แนวหมอเขียวเพราะราคาถูกแบบชาวบ้านๆ ก็ไปรักษาได้อยู่ที่บ้านสานฝัน จ.อำนาจเจริญ



    2. หลัก 8 อ. เพื่อสุขภาพ

    8 อ. เพื่อสุขภาพ นำมาใช้ในการเสริมสร้างให้สุขภาพดี แต่ก็มีบางข้อก็เอามาใช้
    เพื่อทำให้อายุยืน และสุดท้ายนำเอามาใช้รักษาโรคตามแนวธรรมชาติบำบัด มีดังนี้

    1) อิทธิบาท 4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา)

    2) อารมณ์ (ทำให้จิตสงบ ไม่วิตก ไม่อารมณ์เสีย)

    3) อาหาร (กินอาหารที่สมดุล เน้นพืชผักฤทธิร้อน-เย็น ทำสมดุลกับร่างกาย)

    4) ออกกำลังกาย (ตามวัย ตามภาวะ อยู่ในชีวิตประจำวัน มีตักน้ำ ซักผ้า)

    5) อากาศ (อากาศดีๆ บริสุทธ์ แบบชนบท ต้นไม้ดอกไม้แบบปลูกลงทุนต่ำๆ)

    6) เอนกาย (ที่นอนแบบง่ายๆ นอนเพียงพอ)

    7) เอาพิษออก (ไล่พิษแบบต่างๆ ให้ออกจากร่างกาย)

    Cool อาชีวะ (จงทำงาน อย่าทำเป็นคนว่างงาน จะเฉาตาย)



    3. พิษภัยจากอาหารรสจัด

    จงหลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและกินกันเป็นประจำ เพราะจะส่งผลร้ายต่อสุขภาพ มีดังนี้

    รสฝาดจัด >>> เกิดนิ่วได้ง่าย

    รสขมจัด >>> มีอัคคาลอยมาก มีผลต่อหัวใจ

    รสหวานจัด >>> ตับอ่อนทำงานหนัก ทำให้ตับอ่อนเสื่อมง่าย เกิดเบาหวาน

    รสเผ็ดจัด >>> เกิดระคายเคืองต่ออวัยวะ มีกระเพาะ ลำไส้ ทวาร

    รสมันจัด >>> มีไลเปรส มีผลต่อตับ

    รสเค็มจัด >>> มีผลต่อ ไต

    รสเปรี้ยวจัด >>> กัดทำลายผิวตามผนังเนื้อเยื้อ คอฟัน



    หลักสุขภาพของหมอเขียว (ใจเพชร มีทรัพย์)

    “กินเนื้อไม่ติดมัน กินผักมากขึ้น ลดอาหารรสจัด”

    “กินอาหารเสริม วิตามิน อาจไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ”

    “อาหารรสจัดเป็นภัยต่อสุขภาพ (ร่างกาย)



    หากเรามีบาดแผล ลองเอาผักรสจืดตำมาโป๊ะแผล เราจะรู้สึกเฉยๆ
    แต่หากเอาผักรสเผ็ดร้อน มาโป๊ะ เราก็จะรู้สึกปวดแสบปวดร้อน

    ผู้ป่วยมะเร็ง ร่างกายอยู่ในสภาพร้อนเป็นแผลเนื้อร้าย หากกินอาหาร
    พริกไท ข่าแก่ ที่มีฤทธิ์ร้อนหรือสาหร่ายฤทธิ์เค็ม ร่างกายจะทรุดทันทีอย่างเห็นได้ชัด
    แต่หากเรากินจืดก็ไม่เป็นไร กินพวกรสร้อนจะไม่ดี หากกินรสจืดติดต่อกันหลายวัน
    ร่างกายก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว อาหารจืดๆ แต่กินมากเกินไปก็ไม่ดีจะไม่สบาย อึดอัด
    หากกินรสจัดเต็มที่มีน้ำตาล (หวานไป) น้ำส้ม (เปรี้ยวไป) ก็ไม่ดี จะไม่สบาย อึดอัด
    หากกินรสจัดเต็มที่มีน้ำตาล (หวานไป) น้ำเสีย (เปรี้ยวไป) ก็ไม่ดี

    กินวิตามินและอาหารเสริม ไม่ได้เอาแบบธรรมชาติต้องมาสกัดให้เข็มข้น
    เต็มที่เพื่อให้ได้ดูดซึมได้ดีได้ มากๆ ให้พลังงานสูงมาก อย่างนี้ก็ไม่ดีเข้มข้นไป จัดไป ไม่ดี



    4. แนวทางรักษาโรค

    โรคที่รักษา ต้องไม่เป็นโรคจากเชื้อโรคติดต่อ แต่เป็นเรื้อรัง มี มะเร็ง
    เนื้องอกในสมอง ปวดหัว เครียด ความดันโลหิตสูง โรคอารมณ์ (ทางใจ)
    โรควัยทอง (ร้อนวูบาบ) โรคสะเก็ดเงิน

    แนวทางรักษาโรค

    - ใช้สถานที่อากาศดี อยู่ในชนบท

    - ใช้อาหารผักรสจืดตลอด

    - ออกกำลังกายตามวิถีชีวิต เช่นตักน้ำ ซักผ้า หุงข้าว

    - รักษาอารมณ์จิตใจ โดยการต้อนรับดีและอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ดอกไม้ใบไม้ใบหญ้า

    การรักษา 3 วัน ก็เริ่มเห็นผลความแตกต่าง ดีขึ้น สบายโล่ง เบา



    5. เป็นเนื้องอกในสมอง

    - จัดสถานที่นอนแบบเรียบง่าย อยู่ในสวน นอนเห็นต้นไม้

    - สังคมดีต้อนรับให้ผักผ่อนตามสบายประทับใจ

    - อบรมให้ทราบวิธีการรักษาก่อนการรักษา

    - ใช้อาหารล้วนๆ ไม่มีการใช้ยาใดๆ

    - ใช้วิธีปรับสมดุลอาหารฤทธิ์ร้อน-ฤทธิ์เย็น เหมือนเครื่องยนต์ (ร้อน) ต่อโยงกับ หม้อน้ำ (เย็น)

    - กินอาหารรสจืด ใส่เกลือได้เล็กน้อยใ ห้ได้รับรสธรรมชาติจากอาหารแท้ๆ

    - คั่นน้ำโคโลฟิลดื่ม มีใบหญ้านาง ใบเตย หญ้าปักกิ่ง

    - ทานผลไม้สด

    - ทานผักมี ส้มตำ มะละกอ มะเขือเทศ

    - ผักสดรสจืด ฤทธิ์เย็นดับร้อนในร่างกาย

    - ข้าวซ้อมมือ สีเหลือง ฤทธิ์เย็น

    - ผักต้ม ฤทธิ์เย็น

    - หากไปทดลองกินยาสมุนไพรรักษาโรคไม่หายก็มาลองทานอาหารรสจืดได้

    - โรคสะเกิดเงินก็หาย (ภูมิแพ้ของตัวเอง) หลังจากกินอาหารผักภายใน 5 วัน ก็หาย

    - จัดบ้านที่อยู่ให้มีต้นไม้ ดอกไม้ แบบโปรยๆ ตามธรรมชาติ

    - คอเคล็ด หงุดหงิด เจ็บทรมาน ใช้ช้อนขูดที่คอจะหายเป็นวิธีกัวซา

    - วิชากัวซา เป็นวิธีเอาพิษออกจากร่างกายทางผิวหนัง
    ใช้ขี้ผึ้งฤทธิ์เย็น (ยาหม่องเสลดพังพอน) ใช้ช้อนหรือเหรียญสิบบาทขูดตามบริเวณที่เคล็ด
    เจ็บตรงไหนก็ขูดตรงนั้นจนผิวหนังแดง

    - ความดันโลหิตสูง มะเร็ง เบาหวาน เนื้องอก มะเร็งระยะสุดท้าย ตับแข็ง
    ไขมันตันเส้นเลือดแค่ทาน 3 วัน รู้สึกดีขึ้นก็แสดงว่ามาถูกทาง x-ray
    ดูเนื้องอกจะเล็กลง ร่างกายกระฉับกระเฉงลงแปลงผักได้ พูดจาดีขึ้น สมองโปร่งโล่งขึ้น

    - หลังจากหายแล้วก็ไม่ควรหวนกลับไปกินอาหารรสอร่อยๆ รสจัดๆ อีก

    - โรคไขมันพอกในตับลองดื่มน้ำใบหญ้านางคั้น

    - กินอาหารปลอดสารพิษ อย่าใช้เทคโนโลยีมาก ให้กลับมาพึ่งวิถีธรรมชาติ

    - วิธีการรักษาแบบนี้ราคาถูกมาก หากเป็นหมอโรงพยาบาลครั้งละ 3-5 หมื่นบาท

    - การรักษาโรคแบบวิถีธรรมชาติหรือโภชนาบำบัดนี้มีหมอหลายค่ายแพงๆ ทั้งนั้น
    คนจนก็เลยหมดโอกาส

    - อย่าคิดว่าโรคนี้รักษาไม่หาย จงมาหาโอกาสอยู่บ้านดิน ท่ามกลางดอกไม้
    ไม่ต้องกินยากินแต่อาหารบำบัด



    6. เป็นมะเร็งที่คอ

    - ไปศึกษาจากหนังสือถอดรหัสอาหาร ไปศึกษาดู

    - เป็นมะเร็งที่คอระยะ 2 บวมเท่าลูกปิงปองมีอาการเจ็บคอเหมือนเป็นหวัด

    - หมอเขียวติดดินโทรมาหาคนไข้ชวนให้มารักษาที่บ้านสานฝัน

    - หาหมอแผนปัจจุบันมีแต่ฉายแสงรังสี

    - อยู่แบบธรรมชาติ

    - ใช้วิตามินซี มีฝรั่งปั่น ข้าวกล้อง ผักหลายชนิดมาต้ม
    รวมกันเอาน้ำผักมาทำอาหารต่อแต่อาการไม่ดีขึ้นเพราะเหตุใด
    แม้เป็นผักก็ผิดทางเพราะเป็นฤทธิ์ร้อนหมด ต้องหาผักฤทธิ์เย็นจึงจะถูกต้อง

    - มะเร็งเป็นฤทธิ์ร้อนต้องเอาผักฤทธิ์เย็นมาปราบ

    - กินอาหารผัก 5 วัน อยู่กับหมอเขียว คอบวมเท้าลูกปิงปองเหลือเท้าลูกแก้ว

    - อาหารเสริมมีว่านหางจระเข้ ขวดละพันบาท มักถูกอ้างว่าเป็นยาขับออกฤทธิ์จะบวมมากขึ้น



    7. ปวดหัวบ่อย

    - หากกินขนมจะไม่หาย

    - ปวดหัว ปวดท้อง น้อยลง กินอาหารรสจืดจะดี

    - ทำ detox ด้วย

    - ตื่นเช้าตี 4 ทำวัตร กายบริหารกดจุดลมปราณ จากนั้นทำเกษตรเช้า 2 ซม. เย็น 1 ซม.

    - ปกติเหงื่อไม่ออก หลังปรับสมดุลแล้วเหงื่อออกดี

    - อาหารมีรสเดียวแต่อร่อย เคยกินรสจัดมาสุขภาพแย่ เพราะชอบทางรสเผ็ดมาก

    - ปกติมักสั่งผักสิ้นคิด (ผักกระเพรา) กินพริก เม็ดข้าวดำ เดี๋ยวนี้เลิกหมดแล้ว

    - มาสุขกับอาหารจืดดีกว่าเพราะสุขภาพดีขึ้นแข็งแรงเพิ่มขึ้น

    - อาหารรสจัดทำให้เกิดโรคมีเผ็ดจัด เค็มจัด หวานจัด

    - มากินอาหารจืดแค่ 3 วัน จะโล่ง สบาย

    - ทางเลือกรักษาโลกมีแบบแพงและแบบถูก แบบถูกๆ นั้น
    เน้นธรรมชาติมีใช้อาหารบำบัดพึ่งพาตัวเอง หาง่าย ประโยชน์สูงประหยัดสุด



    8. เป็นเบาหวาน

    - เป็นเบาหวานทั้งที่กินมังสะวิรัด เพราะกินข้าวเหนียวมากไป

    - อดของหวาน รักษาเบาหวาน

    - เป็นเบาหวานให้หาหมอปัจจุบันได้แค่ยาปัจจุบันห่อใหญ่
    กินแล้วบีบหัวใจ ให้ทิ้งไปเลย มากินอาหารจืดดีกว่า



    9. บทส่งท้าย

    อาหารดี วิตามินดีๆ อาหารเสริมดีๆ เข้มข้นสูงกินเข้าไปก็อันตราย
    อาหารเสริมดีๆ ดังๆ สกัดมากินมากๆ พวกชงๆ ทั้งหลาย ทรุดเลย เพราะแรงไป

    ร่างกายก็ร้อนมากอยู่แล้วมากินก็เลยทรุดลงอีก

    รักษามะเร็งกับวิธีกินรสจืด ฟื้นดี ไปหาหมอ ฉีดวิตามิน ปวดแสบปวดร้อน
    ต้องรีบถอนพิษ โดยการกินผักใบเขียว

    วิตามินกินไปไม่รู้ว่าตัวเราขาดหรือมีมากไป กินเข้าไปก็เกินไป ไม่พอดี จะดูจากอะไร

    ความลับจากฟ้ามีพึ่งพาตนเองเป็นตัวชี้วัดสุขภาพดี มี

    1) เจ็บไข้ป่วยน้อยลง

    2) ลำบากกายน้อยลง

    3) กระปรี้กระเป่า เบากายใจ

    4) อยู่ผาสุข

    5) มีกำลังสดชื่น

    มีอาหารกิน ครบหรือเปล่าไม่สบายลดลงเขากายมีกำลัง

    กินตอนนี้อีก 1-4 ชั่วโมง ออกฤทธิ์แสดงว่าอาหารครบในวันนั้นแล้วตรวจสอบต่ออีก 3 วัน ข้างหน้า

    ใครไม่สบายตรวจสอบ 4 ชั่วโมง ถึง 3 วัน ย้อนหลังว่า กินอะไรมา ให้เจาะเลือดตรวจได้

    - อาการไม่สบายจากอาหารที่กิน

    - หน่อไม้ดอกกินแล้วร้อนไม่ดี

    - หัดเป็นหมอ เรียนรู้จากตัวเอง พึ่งพาตนเองได้ อย่าไปกินยาอย่างเดียวไม่ดี

    - ต้นเหตุโรค อาหารรสจัด กินมากๆ ไปฝังในเนื้อเยื่อ

    - พอกินยา ยากดโรคขับโรคกินเสร็จก็ขับออกได้ เราใส่ต้นเหตุลงในเนื้อเยื่อ
    จากกระแสบริโภคนิยม ในเนื้อเยื่อฝังลึกขับไม่ออก ก็ต้องเพิ่มความแรง
    เพื่อเอาพิษออก ต้องหายาแรงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อไปงัดออกมา

    พากินยาอย่างเดียวก็พายาอื่นๆ มาด้วยก็เกิดโรคอื่นๆ ตามมาอีก

    - การไม่เปลี่ยนพฤติกรรมมีแต่เอายาใส่เข้าไป

    ภาวะร้อนเกินมีเหมือนมีไฟเผา ปวดหัวตัวร้อนมีฝีหนองผื่นคัน
    เม็ดแผลในปาก อักเสบ มีจุดดำ เจ็บคอ บวมร้อน

    ภาวะเย็นเกินมีโลหิตไหลเวียน มึนชา เย็น หัวตื้อ บวมไม่ออกร้อน

    อาหารเย็นทำให้ร้อนลด ชุ่มคอ

    อาหารร้อนทำให้ปากคอแห้ง (ของแสลง)

    ที่มา http://www.bloggang.com/mainblog.php...roup=1&gblog=9
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 7:09 pm

    เคล็ดลับหน้าสวยเนียนใส



    หน้าเนี้ยนเนียน (สยามดารา)

    สูตรความงามอันหอมหวานและเย็นฉ่ำมาเสิร์ฟกันถึงที่อีกแล้ว
    วันจันทร์วันแห่งการเริ่มต้นทำงานอย่างนี้ หวังว่าทุกคนคงมีหน้าตาสดใสกันทุกคนนะคะ
    อ๊ะ ๆ ที่ทำหน้ามุ่ยน่ะ เพราะจับดูแล้วหน้าไม่เกลี้ยงใสอย่างใจหวังล่ะสิ

    งั้นเตรียมรับสูตรความงามอันเย็นฉ่ำได้เลยค่ะ แต่ใครที่ผิวแพ้ง่ายอาจต้องระวังกันซักนิด

    ส่วนผสมสำหรับ 1 หน้า เริ่มจากนำสตรอเบอรี่ 2 ลูก แตงกวาผ่าครึ่ง 1 ซีก
    น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และน้ำขิงสดที่คั้นจากราก มาผสมให้เข้ากัน
    โดยอาจนำเข้าเครื่องปั่นจะได้ผสมปนเปกันดิบดี


    จากนั้นให้นำมาพอกทั่วทั้งใบหน้า ยกเว้นบริเวณรอบดวงตา ทิ้งไว้สัก 10 นาที
    อาจรู้สึกแสบนิด ๆ เมื่อครบกำหนดก็ให้ล้างออก ทำบ่อย ๆ สัปดาห์ละครั้ง
    หน้าก็จะเกลี้ยงเกลา เบา สบาย สมใจนึกแล้วล่ะค่ะ

    ข้อมูล จาก (สยามดารา)

    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 7:13 pm

    มหัศจรรย์สมุนไพร ไทย ต้านโรคคนเมืองอยู่หมัด



    มหัศจรรย์ สมุนไพรไทย ต้านโรคคนเมืองอยู่หมัด (ไทยรัฐ)


    คนสมัยนี้ เป็นอะไรนิดหน่อยก็ชอบกินยา แถมยังเชื่อผิดๆว่า
    อยากมีสุขภาพดีชีวิตยืนยาว ต้องโด๊ปอาหารเสริม และวิตามินเยอะๆ
    เจ้าแม่วงการอาหารเมืองไทย "คุณหรีด-รพีพรรณ เหลืองอร่ามรัตน์"
    ยืนยันจากประสบการณ์ ทั้งชีวิตว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรจะ
    มหัศจรรย์เท่ากับสมุนไพรไทย...เชื่อคุณหรีด!! ทั้งราคาถูก ปลูก เองก็ง่าย
    และเป็นยาสามัญประจำบ้าน ที่ต้านโรคภัยได้สารพัดนึก



    โรคมะเร็ง

    ถือเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยสูงเป็นอันดับสาม รองจากโรคหัวใจ
    และอุบัติเหตุ เกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์,
    ความบกพร่องทางพันธุกรรม, สิ่งแวดล้อม, อาหาร รวมถึงความเครียด
    และการใช้ ชีวิตเร่งรีบของคนเมือง "มะเร็ง" กลัวสมุนไพรไทย
    อยู่หลายตัวค่ะ เพราะมีสารอาหารต้านโรคร้ายได้น่าทึ่ง
    ใครอยากห่างไกลมะเร็ง แนะนำให้ทาน กระเทียม และผักจำพวกหอม
    ซึ่งอุดมด้วยซัลเฟอร์ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต้านทานมะเร็งโดยธรรมชาติ
    ขณะที่ ผักจำพวกกะหล่ำปลี มีสารต้านทานมะเร็งในลำไส้
    และช่วยต้านมะเร็งต่อมลูกหมาก ส่วน ขมิ้นขาวและขมิ้นชัน
    นอกจากจะมีสรรพคุณขับลมในลำไส้แล้ว ยังมีสารช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ด้วย
    สำหรับสาวๆควรทาน ผลไม้จำพวกส้ม เป็นประจำ เพราะช่วยล้างสารก่อมะเร็ง
    และยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านม

    แพทย์ทางเลือกยังได้ค้นพบความมหัศจรรย์ของ มะรุม สมุนไพรไทยแท้ๆ
    ว่ากันว่า หากทานอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
    โดยคนเฒ่าคนแก่นิยมกินมะรุมช่วงต้นฤดูหนาว
    เพราะเป็นช่วงที่ฝักมะรุมหาได้ง่าย
    วิธีทานมีทั้งการนำช่อดอกมะรุมไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก หรือนำยอดมะรุม,
    ใบอ่อน, ช่อดอก และฝักอ่อนมาลวก หรือต้มให้สุก จิ้มทานกับน้ำพริก
    หรือจะใช้ยอดอ่อนและช่อดอกทำแกงส้ม ก็อร่อยดี มีประโยชน์
    ยังมีการวิจัยด้วยว่า คนที่ทำคีโมรักษามะเร็งควรดื่มน้ำมะรุม ช่วยลดอาการแพ้รังสีได้ดี



    โรคเบาหวาน

    คนอ้วน คือกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน อาการบ่งชี้ ได้แก่ มีปริมาณกลูโคสในเลือดสูง
    เนื่องจากความผิดปกติในการทำงานของอินซูลิน, ปัสสาวะบ่อย, กระหายน้ำรุนแรง, น้ำหนักลด, อ่อนเพลีย,
    อยากอาหารมากกว่าปกติ, ติดเชื้อง่าย, มีอาการแทรกซ้อนจากโรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคไต
    และมีปัญหาทางสายตา การรักษาโรคเบาหวานอย่างได้ผล ต้องทำควบคู่กับการวางแผนทางโภชนาการค่ะ
    โดยสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ต้านเบาหวาน มีอาทิ มะแว้งเครือ และมะแว้งต้น ช่วยรักษาโรคเบาหวาน, บำรุงเลือด และขับปัสสาวะ รวมทั้งรักษาโรคไต ฟักทอง ช่วยป้องกันมะเร็งในปอด, ป้องกัน เบาหวาน และคุมน้ำตาลในเลือด ตำลึง มีสรรพคุณเป็นยาดับพิษภายในร่างกาย, ลดอาการไข้ และเป็นยาระบายอ่อนๆ ผลดิบของตำลึงนำมาปรุงเป็นอาหารช่วยรักษาเบาหวานได้ ผักบุ้ง ไม่ได้ทำให้ตาหวานอย่างเดียว แต่ยังบำรุงกระดูก, ลดไข้และแก้เบาหวาน ส่วน มะระ ขี้นก เชื่อว่าช่วยบำรุงน้ำดี, แก้โรคตับอักเสบ และป้องกันโรคเบาหวาน แม้แต่ มะรุม ก็มีสรรพคุณในการรักษาโรคเบาหวานด้วยเช่นกัน

    โรคอ้วน

    คนอ้วนมีความเสี่ยงเป็นโรคสารพัด ทั้งเบา-หวาน, มะเร็ง, ความดันโลหิตสูง,
    หัวใจ และโรคข้ออักเสบ การลดน้ำหนักที่ได้ผลที่สุดสำหรับคนอ้วน คือ
    ต้องทำค่อยเป็นค่อยไป นอกจากจะจำกัดปริมาณอาหาร,
    หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอแล้ว
    การเลือกทานสมุน ไพรเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกาย
    ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์พิชิตโรคอ้วน ควรทาน แมงลัก
    เพื่อ ช่วยดูดซึมน้ำตาลในเส้นเลือด ทำให้ขับถ่ายสะดวก
    และลดน้ำหนักได้หลายกิโล ส่วน กระเจี๊ยบมอญ ลดความดันโลหิต,
    รักษาโรคกระเพาะ และเป็นยาระบายชั้นดี แตงโม เป็นยาระบายอ่อนๆ
    น้ำแตงโมปั่นยังช่วยล้างลำไส้และกระเพาะอาหาร มะละกอ
    ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ เป็นยาระบาย และ มะม่วงสุก
    ระบายของเสียภายในได้ดี ช่วยแก้อ่อนเพลีย






    โรคเครียด

    ความเครียดถือเป็นตัวการให้เกิดโรค ร้ายนับไม่ถ้วน ยิ่งภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้
    บอกได้คำเดียวว่า ใครไม่เครียดก็บ้าแล้ว!! สมุนไพรไทยที่ช่วยลดความเครียดและทำให้
    นอนหลับสบาย คือ สายบัว ช่วยลดอาการเกร็งของลำไส้ และกระเพาะลดความ
    เครียดทางสมอง กะหล่ำปลี ช่วยลดความเครียด มีสารต้านทานมะเร็งในลำไส้ ขี้เหล็ก
    แก้นิ่วในไต ทำลายเชื้อมะเร็ง เป็นยานอนหลับชั้นดี ใบบัวบก แก้ร้อนใน ทำให้ความจำดี
    ช่วยลดความเครียด ฟ้าทะลายโจร แก้อาการปวดหัวแบบไม่มีสาเหตุ มะนาวมะกรูด ช่วยให้
    นอนหลับ บรรเทาอาการอาหารไม่ ย่อย และ พริกไทย ทำให้สมองปลอดโปร่ง ช่วยลดเครียดได้ผลดี






    โรคภูมิแพ้

    เป็นโรคที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิไวเกินไปต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งคนปกติอาจไม่มีปฏิกิริยานี้เกิดขึ้น
    คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ มีทั้งแพ้ฝุ่น, ตัวไรฝุ่น, เชื้อราในอากาศ, อาหาร, ขนสัตว์, เกสรดอกไม้
    อาการมีได้หลายแบบ ตั้งแต่น้ำมูกไหล, จาม, โพรงจมูกอักเสบ, เยื่อบุตาอักเสบ, หลอดลมอักเสบ,
    หอบหืด และเกิดผื่นคันที่ผิวหนัง การต่อสู้กับโรคภูมิแพ้ จะต้องเพิ่มภูมิคุ้นกันให้ร่างกาย
    โดยสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณด้านนี้ ต้องยกให้ กะหล่ำดอก บำรุงภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
    และป้องกันโรคมะเร็งเต้านม ขณะที่ ขึ้นฉ่าย มีสรรพคุณช่วยให้เจริญอาหาร,
    เพิ่ม ภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย, บำรุงไตให้แข็งแรง ถ้านำมาปั่นกับแครอท ผสมน้ำส้มดื่มทุกเช้า
    จะช่วยให้สุขภาพดีเหลือเชื่อ

    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 20, 2011 7:22 pm

    สมุนไพรรักษาสารพัดโรค ฮว่านง็อก (พญาวานร)

    สมุนไพรฮว่านง็อก (พญาวานร)

    เป็นต้นสมุนไพรถือกำเนิดในประเทศเวียดนามผู้นำเข้ามาใช้เป็นกลุ่มทหารผ่าน
    ศึกสมัยสงครามเวียดนามกระถางแรกมีราคาถึง 70,000 บาท (เจ็ดหมื่นบาท)
    นำมากินใบสด ๆ แก้โรคต่าง ๆ มากมายและเห็นผลเร็ว

    รู้จักกันในรุ่นของทหารผ่านศึกรุ่นนั้นรุ่นเดียวผู้เขียนได้ข้อมูลและมีความ
    สนิทชิดชอบกับทายาทของนายทหารผู้นั้น ซึ่งไม่ขอเอ่ยนาม (ปัจจุบันอายุ 68 ปี)
    จึงได้ถามประวัติความเป็นมา การใช้และสรรพคุณซึ่งท่านใช้

    รักษาอาการเจ็บป่วยของบุคคลในครอบครัวท่าน
    เช่น ภรรยาของท่านเป็นเบาหวานกินใบสมุนไพรฮว่านง็อกไม่นานก็หาย
    ซึ่งจะแจกแจงราย ละเอียดต่อไป


    ลักษณะของต้น
    เป็นต้นไม้ชนิดใบอ่อนปลายแหลม ส่วนล่างของใบจะหยาบสีเขียวเข้ม
    ด้านบนสีเขียวอ่อนเป็นต้นไม้ที่มีใบมากสักหน่อย แตกกิ่งก้านทรงพุ่มได้ดี

    การขยายพันธุ์เพียงตัดยอดปักชำลงดินก็เกิดรากตั้ง ตัวได้เร็ว ย้ายลง

    ปลูกในกระถางใส่ปุ๋ยพรวนดินรดน้ำก็จะเจริญงอกงาม

    วิธีใช้
    ส่วนสำคัญคือ ใบใช้เคี้ยวกินสด ๆ หรือคั้นและกรองเอาน้ำข้น ๆ
    รับประทานหรือต้มเป็นน้ำแกงรับประทานก็ได้ ส่วนเปลือกและรากไม้
    สามารถต้มกลั่นเป็นสุราได้ด้วย ใบไม้ไม่มีกลิ่นและรส สามารถต้มเอาน้ำใส ๆ ดื่ม

    ได้ส่วนการรับประทานมากหรือน้อย อยู่ที่ธาตุ หนัก-เบา
    ของแต่ละคนโดยทั่วไปจะรับประทานกัน 1-4 ใบ
    คนที่มีอาการหน้ามืดตาลายหลังรับประทาน 15 นาทีจะหาย
    ให้รับประทานติดต่อกัน 7 วัน วันละ 2 ครั้งก่อน

    อาหาร

    จากหลักฐานคนไข้รายหนึ่งหลังจากรักษาโรคมะเร็งตับจากยานานาชนิดไม่หาย
    เมื่อได้รับประทานใบสดของต้นฮว่านง็อกคนไข้มีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไม่น่า เชื่อ
    จากการมีไข้สูงถึง 40 องศา ลดลงเหลือ 37 องศา

    การเจ็บปวดลดลงมาก ผิวหนังเคยเหลืองก็ลดลง
    หน้าท้องแฟบลงตัวเบาทำให้คนไข้ลุกขึ้นมาสนทนาได้
    ทำไม คนไข้จึงฟื้นตัวเร็วขนาดนั้นหลังจากรับประทานได้ 20 นาที
    ยาได้ออกฤทธิ์ รับประทาน 5 ใบ จะลดความเจ็บปวดได้ 3 ชั่วโมง
    รับประทาน 7 ใบ ลดได้ 5 ชั่วโมงเสมือนหนึ่งยาวิเศษเพราะคนไข้โรคตับได้เจ็บ

    ป่วยมาถึงวาระสุดท้ายแล้วกลับฟื้นและมีความหวัง
    ต้นฮว่านง็อกเป็นต้นไม้ใบยาที่มีคุณค่าสูงส่งเป็นของขวัญจากสวรรค์
    มอบให้แก่มวลมนุษย์ ก่อนหน้านี้เรียกว่าต้นลิงเพราะพวกลิงอยู่ในป่า
    เมื่อเป็นอะไรมันจะกินใบ

    ของต้นไม้ชนิดนี้ ทำให้หายได้ในทุก ๆโรค ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น HOAN-NGOC
    เนื่องจากมีเด็ก 2 คน ทะเลาะวิวาทและตีกันจนทำให้ลูกอัณฑะหายไป
    เมื่อรับประทานใบไม้นี้ทำให้ลูกอัณฑะกลับคืนเป็นปกติ

    สรรพคุณของต้นสมุนไพร (จากเอกสาร ฮานอย 2-9-1995 ถ่ายทอดจากต้นฉบับจริง)
    1. รักษาคนสูงอายุ ปวดเมื่อยตามร่างกายทำงานหนัก เกิดประสาทหลอน
    2. รักษาเป็นไข้หวัด ความดันโลหิตสูงท้องไส้ไม่ปกติ
    3. รักษาอาการมีบาดแผล เคล็ด ขัด ยอก กระดูกหัก
    4. รักษาอาการทางเดินอาหารไม่ปกติ
    5. รักษาอาการโรคกระเพาะอาหารโรคเลือดออกในลำไส้เกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ
    6. รักษาอาการคอพอกตับอักเสบ
    7. รักษาอาการไตอักเสบ ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขุ่นข้น
    8. รักษาอาการโรคมะเร็งปอด มีอาการปวดต่าง ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ
    ให้รับประทานต่อไป 100-200 ใบ อาการจะหายขาด
    9. รักษาโรคตาทุกชนิด เช่น ตาแดง ตาต้อตาห้อเลือด
    10. รักษาอาการมดลูกหย่อนของหญิงคลอดบุตรใหม่ ได้ผลดีช่วยให้มดลูกเข้าอู่
    11. รักษาโรคความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตต่ำโรคประสาทอ่อน ๆ
    (เพื่อเป็นการสนับสนุนเหตุผลโรคความดันโลหิตสูง
    ซึ่งผู้เขียนก็เป็นจึงกินเข้าไปครั้งละ 5 ใบ เช้า-เย็น 1 วัน
    อาการหน้ามืดหนักหัวหายไป รู้สึกสบายเบาสมอง)
    12. สามารถใช้กับสัตว์ได้จากเอกสารระบุว่าใช้กับไก่ชนหลังจากชนไก่แล้ว
    ต้องการให้ไก่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บให้ไก่กินใบของต้นสมุนไพรฮว่านง็อกจะฟื้น ตัวได้เร็ว

    รายละเอียดในการใช้รักษาแต่ละโรค
    1. โรคกระเพาะอาหารเป็นแผล รับประทานครั้งละไม่เกิน 7 ใบ วันละ 2 ครั้ง
    รับประทานติดต่อกันไปจนครบ 50 ใบ
    2. โรคเลือดออกในลำไส้ รับประทานใบสด 7-13 ใบ หรือคั้นเอาน้ำ วันละ 2 เวลา
    3. โรคเกี่ยวกับลำไส้ใหญ่เป็นบิดรับประทานครั้งละไม่เกิน 7 ใบ วันละ 2 ครั้ง
    รับประทานติดต่อกันไปประมาณ 100 ใบ
    4. โรคตับอักเสบ คอพอก รับประทานครั้งละ 7 ใบ วันละ 3 ครั้ง
    รับประทานติดต่อกันไปจนครบ 150 ใบ
    5. โรคไตอักเสบ ปวดเป็นประจำรับประทานครั้งละ 3-4 ใบ วันละ 3 ครั้ง
    รับประทานไปจนครบ 30 ใบ
    6. อาการท้องไส้ไม่ปกติ รับประทาน 7-14 ใบ 2 ครั้ง หาย
    7. ปวดเมื่อยตามร่างกายรับประทาน 7-14 ใบ 2 ครั้ง หาย
    8. อาการปัสสาวะแสบ ปัสสาวะเป็นเลือดรับประทาน 14-21 ใบ
    โดยการคั้นเอาน้ำข้น ๆ รับประทาน
    9. โรคตาแดง รับประทาน 7 ใบ และบด 3 ใบ ปิดที่ตา เวลานอน 1 คืน จะหาย
    10. โรคความดันสูงจะลดทันทีเมื่อรับประทาน 5-9 ใบ (
    ผู้เขียนได้ทดลองด้วยตนเองดีสมราคาคุย)
    11. แก้โรคเบาหวานผู้ชายรับประทานวันละ 7 ใบ
    ผู้หญิงรับประทานวันละ 9 ใบ ภายใน 90 วัน หาย
    12. ใช้กับสัตว์ เช่น ไก่เหงา เป็นอหิวาต์ หรือนิวคาสเซิล ให้ไก่กิน 2-3 ใบ
    ไก่ชนหลังจากการชนแล้วให้กิน 2-3 ใบ (น่าจะประยุกต์ใช้กับสัตว์อื่น ๆได้)
    13. สตรีหลังคลอด รับประทานวันละ 1 ใบรับประทานทุกวันจะทำให้ฟื้นสุขภาพได้เร็ว

    อนึ่งการรับประทานหรือกินใบสมุนไพร ให้กินก่อนอาหารเสมอ

    "ปลูกง่ายมาก เราหักกิ่ง ให้คนเป็นเบาหวานชำกินไปหลายคนแล้ว"


    "พรุ่งนี้จะมาโพสต์ต่อเด้อจ้ะ"

    cheers

      เวลาขณะนี้ Mon Apr 29, 2024 8:57 am