ลุงหมอ สวนโพธิ์

Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

4 posters

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Tue Jun 21, 2011 9:25 am

    ตำรับยาหอมสมุนไพรรักษาโรคประสาท


    ยาหอมจิตรารมณ์

    วัตถุส่วนประกอบ

    1. ลูกสมอไทย หนัก 2 สลึง
    2. ลูกสมอพิเภก หนัก 2 สลึง
    3. ลูกมะขามป้อม หนัก 2 สลึง
    4. ดอกบุนนาค หนัก 2 สลึง
    5. โกฐพุงปลา หนัก 2 สลึง
    6. ชะลุด หนัก 3 สลึง
    7. ดอกพิกุล หนัก 3 สลึง
    8. เปราะหอม หนัก 6 สลึง
    9. ชะเอมไทย หนัก 6 สลึง
    10. ชะเอมเทศ หนัก 6 สลึง
    11. พิมเสนเกล็ด หนัก 7 บาท
    12. ดอกสารภี หนัก 1 บาท
    13. กระลำพัก หนัก 1 บาท
    14. ขอนดอก หนนัก 1 บาท
    15. อบเชย หนัก 1 บาท
    16. ดอกสารภี หนัก 1 บาท
    17. โกฐสอ หนัก 1 บาท
    18. โกฐหัวบัว หนัก 1 บาท
    19. ชะมดเช็ด (หรือชะมดเชียง) หนัก 1 บาท
    20. การบรูผง หนัก 1 บาท
    21. กระแจะ หนัก 1 บาท
    22. ลูกสะเดาอ่อน หนัก 4 บาท
    23. ผิวเปลือกส้ม 8 ประการ หนักสิ่งละ 1 บาท
    24. ลูกจันทน์ หนัก 1 เฟื้อง
    25. ดอกจันทน์ หนัก 1 เฟื้อง
    26. เทียนทั้ง 5 (ราทั้ง 5 ) หนังสิ่งละ 1 เฟื้อง
    27. จันทน์ขาว หนัก 3 สลึง 1 เฟื้อง
    28. จันทน์แดง หนัก 3 สลึง 1 เฟื้อง
    29. ดอกเก๊กฮวย 1 ห่อ (หนักประมาณ ครึ่งกิโลกรัม)
    30. ดอกมะลิลาแห้ง (ปลอดสารพิษ) หนักเท่ายาทั้งหลาย

    ชั่งตัวยาทั้งหมดรวมกันแล้วมีน้ำหนักเท่าไร ก็ใส่ดอกมะลิลาแห้ง
    (ที่ไม่ฉีดยาเคมีฆ่าแมลง ยาเคมีฆ่าหญ้า และไม่ใช่ปุ๋ยเคมี)
    น้ำหนักเท่ากับตัวยาอื่นๆ ทั้หมดรวมกัน

    วิธีทำ วิธีใช้ และขนาดรับประทาน

    บดเป็นผง ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา เด็กโตครั้งละ
    ครึ่งช้อนชา ละลายยาด้วยน้ำดอกไม้
    น้ำส้มซ่า น้ำสุก น้ำร้อน น้ำเย็น น้ำนม หรือน้ำผลไม้อะไรก็ได้
    ถ้าปั้นเป็นลูกกลอน หรือปั๊มเป็นเม็ด ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 3-5 เม็ด เด็กโตครั้งละ 1-2 เม็ด

    ถ้าบรรจุใส่แค็ปซูล ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 3-5 แค็ปซูล เด็กครั้งละ 1-2 แค็ปซูล

    รับประทานวันละ 1-4 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น-ก่อนนอน )ก่อนอาหารครึงชั่วโมง)
    หรือเมื่อมีอาการป่วย ถ้าต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ควรรับประทาน
    เฉพาะก่อนอาหารเย็นหรือก่อนนอนเท่านั้น
    ก่อนขับรถหรือกำลังขับรถ หรือคนที่กำลังทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร
    ไม่ควรรับประทานยาหอมขนานนี้
    เพราะยาหอมนี้รับประทานแล้วทำให้ง่วงนอน อาจจะทำให้เกิดอับัติเหตุได้

    สรรพคุณ

    แก้โรคประสาท แก้ปวดศรีษะ มึนศรีาะ เป็นลมวิงเวียน หน้ามืด หัวใจสั่น
    สวิงสวาย อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ดวงจิตขุ่นมัว ร้อนในอก ในท้อง
    และในสันหลัง นอนไม่หลับ บำรุงประสาท บำรุงหัวใจ ทำให้นอนหลับสบาย
    หมาย เหตุ ยาหอมตำรับนี้ พระอาจารย์โพธิ จนฺทสโร เจ้าอาวาสวัดธารน้ำไหล
    สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฐานีได้เมตตาให้กระผมมา
    กระผมได้ทำรับประทานแล้วหายจากโรคประสาท ซึ่งมีอาการปวดศรีษะ
    มึนศรีษะ นอนไม่หลับ หรือหลับยาก

    กระผมได้พยายามไปรักษาตามโรงพยาบางต่างๆ มาแล้วหลายสิบปี แต่ก็ไม่หาย
    จนกระทั้งมาได้ตำรับยาขนานนี้จาก พระอาจารย์โพธิ จนฺทสโร
    และทำรับประทานจึงหายขาดจนกระทั้งปัจจุบันนี้
    กระผมได้แก้ไขจากตำรับเดิมบ้าง เช่น ตัดเอาพริกไทยออกไป
    เพราะทดลองรับประทานกันหลายคนแล้ว
    ผลปรากฏว่า หายปวดศรีษะ แต่ปวดเอว เพราะพรกไทยแสลงต่อโรคไต
    กระผมจึงใส่ดอกเก็กฮวยเข้ามาแทนพริกไทย ดอกเก็กฮวย 1 ห่อ
    น้ำหนักประมาณ 1/2 กิโลกรัม
    และใช้ชะมดเช็ดแทนชะมดเชียง เพราะชะมดเชียงแพงมากเหลือเกิน

    กระผมขอกราบคารวะท่านอาจารย์พุทธทาส ภิกขุ ประธานของสวนโมกขพลาราม
    ซึ่งท่านได้ปรินิพพานไปแล้ว
    ท่านได้เมตตากรุณาสั่งสอนให้กระผมรู้จักและเข้าใจหลักธรรมคำสั่งสอนของพุทธ
    ศาสนาที่ถูกต้องแท้จริง ไม่งมงาย
    ช่วยให้ดับทุกข์ทางใจได้มากขึ้นกว่าเดิม และพระอาจารย์โพธิ จนฺทสโร
    ที่ท่านได้เมตตากรุณาช่วยให้กระผมพ้นจากความทุกข์ทรมานทางกายจากโรคร้ายนี้

    (จากหนังสือ สมุนไพรไทย-จีน รักษาโรคประสาท : ตำรายาหอม โดย ไสว สุนทร)
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Tue Jun 21, 2011 9:31 am

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 1_14

    ด้วยรสชาติที่เผ็ดร้อนนิด ๆ และมีกลิ่นฉุน พร้อมคุณประโยชน์ดี ๆ สารพัน
    วาซาบิจึงเป็นเครื่องปรุงที่ขาดไม่ได้ สำหรับอาหารญี่ปุ่น
    เรียกได้ว่าย้อนหลังไปเป็นเวลานับพันปี เราก็ได้เจอเจ้าเครื่องปรุงสีเขียวนี้อยู่คู่ครัวชาวญี่ปุ่นแล้ว

    วาซาบิ (Wasabi) นำมาจากการบดลำต้นของพืชที่มีชื่อว่า Canola ใบวาซาบิ
    จะคล้ายกับดอกของต้นโฮลีฮอค ลำต้นมีความสูงแค่เข่า
    ส่วนโคนลำต้นที่ใช้ในการทำอาหารมีลักษณะเป็นหัวเหมือนไชเท้า
    หรือบอระเพ็ด มีสีเขียวอ่อน

    เมื่อจะนำวาซาบิไปประกอบอาหารนั้น จะต้องนำวาซาบิไปฝนกับเครื่องฝนพิเศษ
    ที่ทำมาจากเหงือกปลาฉลาม (Wasabi Oroshi) ซึ่งจะมีปุ่มขนาดเล็ก ๆ
    ทำให้ผลวาซาบิละเอียด จนมีลักษณะคล้ายครีมสีเขียว และนำไป
    ผสมกับโชยุ (ซีอิ๋วญี่ปุ่น) เพื่อทานเป็นน้ำจิ้มสำหรับปลาดิบหรือชูชิ

    ประโยชน์ของวาซาบิ

    1.วาซาบิสามารถช่วยฆ่าเชื้อโรค และต่อต้านการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด

    2.วาซาบิมีฤทธิ์ต่อต้านสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร

    3.วาซาบิช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตัน มีฤทธิ์ต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือด

    4.วาซาบิช่วยป้องกันฟันผุ โดยมีสารประกอบทางเคมี ในวาซาบิที่เรียกว่า
    โอไซยาเนตส์ (lsothiocyanate) ซึ่งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโต
    ของเชื้อจุลินทรีย์ตลอดจนการผลิตเอมไซม์ในการ ก่อตัวของหินปูนที่เป็นต้นเหตุให้เกิดฟันผุ

    5.วาซาบิช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในการกำจัดเซลล์ที่เริ่มผิดปกติ
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Tue Jun 21, 2011 9:34 am

    สมุนไพรรักษาโรคสะเก็ดเงิน หรือ เรื้อนกวาง



    โรคสะเก็ดเงิน หรือเรื้อนกวาง แนะนำสมุนไพรรักษาโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง

    ซึ่งเป็นทางกรรมพันธุ์ไม่ได้เป็นโรคติดต่อ เพียงแต่ว่าลักษณะการเป็นนั้น

    อาจจะมีลักษณะที่น่ากลัว เพราะอาการจะเป็นผิวหนังลอกๆแดงๆ มีอาการคัน

    คือว่าแม่เราเค้าเป็นมาหลายปีแล้ว ตอนแรกเริ่มเป็นที่หัวก่อน คล้ายๆรังแค
    แต่ พอหลายปีเข้าก็เริ่มลุกลาม จนมาถึงร่างกาย

    พาไปหาหมอ ก็เลยรู้ว่าเป็นโรคสะเก็ดเงิน ซึ่งทางการแพทย์เค้าว่าไม่มีทางหาย

    แต่เราว่ามันต้องมีโอกาสหายสิเพราะเป็นเกี่ยวกับผิวหนังอักเสบ

    เราก็ค้นหายาสมุนไพรต่างๆ มารักษาให้แม่ เพราะเราคิดว่า โรคนี้เป็นโรคของผิวหนังอักเสบ

    มันก็ต้องรักษาทางผิวหนังทั้งหมด คือ เราให้แม่เรากินยาล้างพิษก่อน ก็รางจืดนั่นแหละ

    พอสักพักก็ให้เค้าทายารักษาโรคผิวหนังเลย ก็คือ ที่เราหามาได้ก็มี กำมะถัน+น้ำมันมะพร้าว


    คุณสมบัติของสมุนไพร 2 ชนิดนี้คือ

    1. กำมะถัน ช่วยในเรื่องของการรักษาผิวหนังทั้งหมด ช่วยรักษาเล็บ ผม

    ให้มีสุขภาพดีเป็นเงางาม ผิวเนียนเรียบดูเปล่งปลั่งสดใส

    ยังมีคอลลาเจนสร้างเนื้อเยื่อรอยต่อด้วยและที่สำคัญ

    กำมะถันเนี่ยจะใช้เป็นส่วนผสมของครีม โลชั่น ยารักษาโรค


    ผิวหนังทั้งหลาย เช่น กลาก เกลื้อน หิด และผิวหนังอักเสบ ดูคุณประโยชน์ได้ที่นี่ค่ะ

    cheap hair extension black wigs at hotlinehair.com

    2. น้ำมันมะพร้าว อ่า ขึ้นชื่อว่าน้ำมันก็ต้องช่วยในการบำรุงให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนังแน่นอน

    และไม่ใช่แค่นั้น ยังบำรุงผมให้เงางาม บำรุงหนังศรีษะ

    เป็นน้ำมันธรรมชาติไม่เป็นอันตราย มีคุณสมบัติอุ้มน้ำ ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
    ช่วยในการดูดซึมวิตามินได้ดีอีกด้วย

    ถ้าอยากรู้คุณประโยชน์ของสมุนไพรชนิดนี้ ดูเพิ่มได้ที่นี่นะคะ

    http://www.be2hand.com/scripts/view.php?prod_id=257527

    ก็ ผสมกันไม่ต้องข้นมากนะเอาบางๆๆก็พอเพราะเวลาล้างออกมามานจาแสบตา
    สำหรับคนที่เป็นที่หัวอ่ะ

    **ก่อนอื่นเลยต้องก็ต้องงดอาหารที่ทำให้ผิว หนังเสื่อมโทรม
    เพราะถ้ารักษาไปแล้วยังไม่งดมีหวังไม่หายแถมเป็นหนักกว่าเดิม**

    อาหารที่ เราจะบอกก็คือ

    1. อาหารประเภทเป็ด ไก่ อาหารทะเลทั้งหลาย
    2. ของหมักของดองทุกชนิด
    3. บุหรี่ แอลกอฮอล์ทั้งหลาย
    4. อาหารรสจัด
    5. พวกอาหารอีสาน เนื้อวัว เนื้อควาย
    6. ปลาที่ไม่มีเกล็ด
    7. ถั่วยกเว้นถั่วเหลืองกิงได้

    **สรุป คือกินได้แต่หมูอ่ะ ว่างั้น**

    ที่ เรารู้ก็เพราะเราไปค้นในเวปไซด์มา ต้องขอขอบคุณ

    คุณภัสสรีนารถด้วยค่ะที่ให้ความรู้ใครอยากเข้าไปดูก็ได้นะ

    BlogGang.com : : Patsareenart

    .. คือแม่เราพอรักษากับกำมะถันแล้วก็น้ำมันมะพร้าว ไปสัก4วันก็เริ่มดีขึ้น

    ผิวที่เคยแดงๆก็เริ่มลอกออกเหมือนผิวหนังกำพร้าหลุดอ่ะ

    ผิวก็เริ่มจาเนียนๆขาวๆเหมือนผิวหนังปกติ ที่หัวก็ดีขึ้นคือไม่มีสะเก็ดขาวๆเท่าไหร่

    หลุดลอกออกไป แต่ก็ยังเป็นแดงๆอยุ่

    ยาสมุนไพรอาจจะเห็นผลช้าสักหน่อยไม่เหมือนยาปัจจุบันที่กิงปุ๊บหายปั๊บ

    ฐานะที่บ้านเราก็หาเช้ากินค่ำไม่ได้มีเงินมากมายอะไร

    ที่มาแนะนำก็เพราะเหงว่ามีคนเป็นเยอะมากไม่ใช่แค่ในประเทศไทย

    โรคนี้เป็นแล้วทรมานแล้วแต่ว่าเป็นมากหรือน้อย อย่างกรณีของแม่เราเค้าก็ถือว่ากลางๆ

    ก็เลยอยากจะมาบอกต่อๆกันไปอยากให้หายกันทุกคน ไม่อยากให้มีใครเป็นค่ะ

    ที่มา http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=zezix&date=28-03-2008&group=2&gblog=1

    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Tue Jun 21, 2011 9:40 am

    สมุนไพรรักษาโรคผิวหนังอักเสบจาก สิว

    สิวเป็นโรคเรื้อรัง พบบ่อยมากเป็นอันดับต้นๆ ของปัญหาโรคผิวหนัง มักเป็นในวัยรุ่น
    แต่บางครั้งเลยวัยรุ่นไปแล้วก็อาจเป็นได้ ลักษณะที่บ่งบอกว่าเป็นสิวคือ
    เป็นเม็ดสิวอุดตันที่เรียกกันว่า คอมมิโดน ถ้าเป็นเม็ดนูนเล็กๆ
    ไม่มีรูเปิดเรียก สิวหัวขาว ถ้ามีรูเปิดที่ผิวหนังมองเห็นเป็นจุดดำอยู่ตรงกลางเรียกสิวหัวดำ
    นอกจากนี้อาจเกิดเป็นตุ่มนูนเล็กๆ แดงๆ อาจเห็นเป็นตุ่มหนอง ,หรือตุ่มนูนแข็งเม็ดโต
    หรือตุ่มแดงอักเสบแบบถุงซีสต์ที่เรียกกันว่า สิวหัวช้าง สิวที่สร้างความวิตกมากคือ
    สิวบริเวณใบหน้า ซึ่งเป็นบริเวณที่พบบ่อย ในบางรายอาจเกิดบริเวณ คอ , หลัง, อก,

    สาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ฮอร์โมนเพศ เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น
    ต่อมไขมันโตเต็มที่ผลิตน้ำมันมากขึ้น ท่อของต่อมไขมันหนาตัวมีการอุดตัน
    น้ำมันระบายออกไม่ได้คั่งค้างอยู่ภายใน เชื้อแบคทีเรียที่อยู่บริเวณนี้แบ่งตัวเพิ่มขึ้น
    ย่อยสลายไขมันทำให้เกิดความระคายเคือง และท่อต่อมไขมันแตกออก
    กรดไขมันออกสู่บริเวณข้างเคียงเกิดเป็นสิวอักเสบขึ้น
    ความรุนแรงของสิวแต่ละคนแตกต่างกันไป บางรายเป็นมากบางรายเป็นน้อย
    สิวอักเสบอาจกำเริบได้ในช่วงมีความเครียด เช่น อดนอน
    หรือในผู้หญิงช่วงใกล้มีประจำเดือน นอกจากนี้การบีบแกะสิว จะกระทบกระเทือน
    และนำเชื้อโรคเกิดการอักเสบมากขึ้น และมีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นเมื่อสิวหายแล้ว

    สิวแบ่งเป็น 2 ชนิด
    1.สิวไม่อักเสบ เกิดจากการอุดตันของต่อมไขมัน (COMEDONE) แบ่งเป็น 2 ชนิด
    1.1 สิวหัวปิด เห็นเป็นตุ่มเล็ก ๆ หัวขาว ๆ
    1.2 สิวหัวเปิด หรือสิวหัวดำ
    2.สิวอักเสบ คือสิวที่หัวแดง ๆ หรือ เป็นหนอง พวกนี้ก็คือ (COMEDONE)
    ที่มีการติดเชื้อ(BACTERIA) แทรกซ้อน
    ดังนั้น ถ้าเป็นสิวอักเสบ การทำความสะอาด ใบหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ
    และการป้องกันไม่ให้มีการอุดตันที่รูขุมขน
    (COMEDONE) โดยการใช้น้ำเปล่าล้างหน้าในตอนกลางวัน
    ก็พอจะช่วยให้สิวลดลงหรือป้องกันไม่ให้สิวใหม่เกิดขึ้น
    แต่ถ้าเป็นสิว อักเสบ คงต้องปรึกษาแพทย์
    เพราะต้องใช้ปฏิชีวนะ (กินหรือทาแล้วแต่ความรุนแรงของสิว)
    สิวอักเสบควรจะต้องรีบรักษา ถ้าไปแกะหรือบีบหนองออก
    จะเป็นรอยแผลเป็น บุ๋มตลอดไป รักษายากมาก
    การนอนดึกทำให้สิวเพิ่มขึ้น ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นสิวอักเสบ อาจเป็นเพราะ
    1.ร่างกายอ่อนแอ เชื้อ Becteria ในสิวทำให้มีการอักเสบมากขึ้น
    2.Hormone เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะใน ผู้หญิง ตัวอย่างเช่น
    บางคนประจำเดือน หรือขณะตั้งครรภ์ จะมีสิวเพิ่มขึ้น


    สมุนไพรที่ ใช้รักษาสิว ได้แก่

    ว่านหางจรเข้ ล้าง หน้าเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด ใช้วุ้นจากใบสดทาบริเวณที่มีอาการ
    วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ปล่อยให้แห้งโดยไม่ต้องล้างออก
    ข้อควรระวัง ต้อง ล้างยางสีเหลืองจากขอบใบออกให้หมดก่อนใช้
    เนื่องจากมีฤทธิ์ระคายเคืองมาก อาจทำให้เกิดการแพ้ สำหรับผู้ที่ผิวแพ้ง่าย
    อาจทดลองทาวุ้นบริเวณท้องแขนดูก่อน หากมีผื่นแดงหรือคันไม่ควรใช้ทาหน้า


    เปลือก มังคุดบดผง 100%

    "มังคุด"ผลไม้ที่ถูกยกย่องให้เป็น ราชินีของผลไม้
    แต่นอกเหนือจากความอร่อยของเนื้อในมังคุดแล้ว เปลือกของมังคุดนั้น
    คนไทยเรายังได้รู้จักนำเอาเปลือกไปใช้ประโยชน์เป็นยารักษาโรคมานานแล้ว
    ไม่ว่าจะเป็นการนำเอาเปลือกมังคุดมาใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วง
    สรรพคุณที่โดดเด่นของเปลือกมังคุดที่เรารู้จักใช้กันมานานคือการใช้เปลือก
    มังคุดในการรักษาโรคผิว สิวต่างๆ บรรเทาอาการผดผื่น
    โดยใช้เปลือกมังคุดแห้งมาต้มน้ำอาบ หรือใช้น้ำต้มเปลือกมังคุดทาบริเวณที่มีอาการ
    และด้วยคุณสมบัติดังกล่าวนี้เอง
    เปลือกมังคุดจึงถูกดึงมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด
    ไม่ว่าจะเป็น สบู่ที่ช่วยบรรเทาโรคผิวหนัง สบู่รักษาสิวฝ้า ซึ่งเป็นที่นิยม

    จริงๆ แล้วเปลือกมังคุดได้รับการพิสูจน์และยืนยัน จากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
    ค้นพบว่า รสฝาดในเปลือกมังคุดมีสารที่เรียกว่า แทนนิน(tannin)
    ซึ่งมีฤทธิ์สมานแผลช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น สารแซนโทน(Xanthon)
    ช่วยยับยั้งเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังได้ และสารที่มีชื่อเรียกเฉพาะ
    ชื่อเดียวกับมังคุดว่า แมงโกสติน (Mangostin) มีฤทธืช่วยลดการอักเสบ
    และต้านแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง

    ผลวิจัยจะ พบว่าเปลือกมังคุด เปลือกทับทิม มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มาก
    มีคุณสมบัติการต้านอนุมูลอิสระที่เหมาะสมมากกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ
    และพบว่าเปลือกมังคุดประกอบด้วยสารธรรมชาติ GM-1 ซึ่งมี คุณสมบัติเด่น 4 ประการ คือ

    1. ระงับการเจริญของเชื้อแบคทีเรียต้นเหตุสิว
    2. ต้านการอักเสบ
    3. ต้านอนุมูลอิสระ
    4. ช่วยสมานผิว กระชับรูขุมขน

    วิธี ใช้ ใช้ ผสมน้ำเปล่าเท่านั้นอย่าให้ข้นหรือใสเกินไป
    พอกหน้าจนแห้งแล้วล้างออก หรือแต้มหัวสิวหนอง ยุบทันใจใน1-2วัน


    -บัว บกบดผง100%

    ผลจากงานวิจัยสกัดสารต้านสิว ในบัวบกมีกลุ่มสารสำคัญจำพวกไตรเทอร์ปีน
    และกลัยโคไซด์ของไตรเทอร์ปีน ซึ่งเป็นสมุนไพรที่มีผลการวิจัยรองรับมาก มาย
    ทั้งการศึกษาในสัตว์ ทดลองและในคน โดยพบว่าสารในบัวบก
    มีฤทธิ์ในการรักษาแผลกระตุ้น การสร้าง collagen เร่งขบวนการสร้างเนื้อเยื่อใหม่
    จึงช่วยเร่งให้แผลหายเร็วขึ้น และมีประโยชน์ในการรักษาแผลเป็นและ keloid
    โดยสามารถลดการเกิดfibrosis จึงช่วยป้องกันการเกิดแผลเป็นได้

    สารสกัดบัวบกยังมีฤทธิ์ต้านการ อักเสบและต้านอาการแพ้
    จึงช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหรืออักเสบ เนื่องจากแมลงกัดต่อย
    และลดอาการข้ออักเสบในคนไข้ได้อีกด้วย จากผลการทดลองใช้ครีมบัวบก
    ทาแผลอักเสบหลังผ่าตัด พบว่าช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

    นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ สารสกัดน้ำบัวบกมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ S.aureus
    และเชื้ออื่นๆ ที่เป็นสาเหตุของการเกิดหนองได้ โดยผลต่อการเรียนรู้
    สารสกัดน้ำของบัวบก ขนาด 200 มก./กก. สามารถทำให้การเรียนรู้
    และความจำของหนูทดลองดีขึ้น ทั้งยังพบว่าสารสกัดบัวบกช่วยเพิ่มความสามารถ
    ในการเรียนรู้ของหนูที่มีอาการอัลไซเมอร์ได้

    จากการวิจัยของ รศ.ดร.วันดี กฤษณพันธ์ อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์
    มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าบัวบกชนิดก้านขาว ให้สารสกัดน้อยกว่าบัวบก
    ชนิดก้านแดง โดยบัวบกทั้งสองชนิด ประกอบด้วยสารสำคัญ asiaticoside
    และสารอื่นๆ ไม่แตกต่างกัน ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้ศึกษาวิจัยการ
    นำสารสกัดบัวบกมาผลิต เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลายชนิด

    โดยพบว่าผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารสกัด บัวบก ในปริมาณที่เหมาะสม
    จะช่วยในการสมานผิว ป้องกันรอยแผลเป็น ช่วยลดความหยาบกร้านของผิว
    และลดการสะสมของแบคทีเรียได้อย่างดี บัวบกที่มีฤิทธิ์ฆ่าเชื้อ เมื่อใช้แต้มหัวสิว
    จากการทดลองในกลุ่มตัวอย่าง พบว่าทำให้สิวแห้งและหายเร็วขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

    วิธีใช้ นำมาผสมน้ำสะอาด พอกหน้าแห้งแล้วล้างออก

    ทนาคา100%

    ทนาคา" พาสวยด้วยสมุนไพรสืบตำนานโบราณ... เน้นงามแบบผิวพม่าฯ
    ถ้าเป็นสมุนไพรไทย ที่เกี่ยวกับผิวพรรณละก็ต้องนี่เลย "ขมิ้นชัน"
    แต่ถ้าเป็นสมุนไพรเคล็ดลับผิวสวยของพม่าก็ต้อง "ทนาคา" หรือ "กระแจะ"
    ไม้ยืนต้นขนาดเล็กที่เวลานี้ถูกนำมาเป็นส่วนผสม ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลายหลาก
    เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า "ไม้ทนาคา" นั้น พม่าใช้ฝนกับหินผสมกับน้ำ
    ใช้ประทินผิวมาแต่โบราณ จนมีสำนวนเปรียบเทียบว่า "ผิวพม่านัยน์ตาแขก"
    ผิวสาวพม่าส่วนใหญ่จึงสวย เนียน และผิวค่อนข้างละเอียด เนื้อไม้ทนาคา
    ซึ่งเป็นสมุนไพรที่พบได้มาก จากทางฝั่งพม่า เมื่อตากแห้งสนิทและนำมาบดผง
    แล้วสามารถนำมาผสมทำครีมพอกหน้าได้อย่างวิเศษ สามารถผสม

    *น้ำผึ้ง(สำหรับคนผิวแห้ง)
    *น้ำมะขามเปียก(สำหรับผิวที่ ด่างดำ)
    *ขมิ้นชัน(สำหรับผิวที่มีสิว)
    *นมสดรสจืด(สำหรับผิวที่ต้อง การความนุ่มเนียน)
    *โยเกิร์ต (สำหรับผิวที่ต้องการความนุ่มและใส)
    เมื่อ บดผสมจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ก็จะได้ครีมสำหรับพอกหน้าที่มีเนื้อสัมผัส
    ไม่ถึงกับละเอียดนัก ทั้งนี้ เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกเผยผิวใหม่
    เนื้อครีมอุดมไปด้วยสมุนไพร ที่มีสรรพคุณช่วยประทินผิว
    มีกลิ่นหอมสมุนไพรธรรมชาติ (ไม่แต่งกลิ่น) และไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อผิว"

    วิธีใช้ เพียงนำครีมผสมให้ข้น(ผสมครั้งต่อครั้ง ห้ามผสมทิ้งไว้)
    มาพอกทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แห้งแล้วใช้มือขัดออก ทำทุกวันก่อนอาบน้ำ
    แค่สัปดาห์เดียวจะรู้สึกว่าผิวหน้า ที่แห้งหยาบกร้าน กลับมาชุ่มชื้นมีน้ำมีนวล
    และดูเนียนขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น ส่วนริ้วรอยจากฝ้า หรือกระ ที่มีอยู่จะค่อยๆ จางลง
    *นี่คือภูมิปัญญาจาก สมุนไพรพื้นบ้าน ที่สามารถแต่งเติม
    ความงามได้ไม่แพ้ครีมของนอก หรืออีกนัย ถ้าคุณได้ลองอาจจะดีกว่าของนอก
    ถูกกับผิวชาวเอเชียอย่างเรามากกว่าด้วยซ้ำค่ะ

    ข้อมูล ความมหัศจรรย์ของทนาคา จากไทยรัฐ ฉบับวันที่ 21มค.48 หน้า7
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Tue Jun 21, 2011 9:45 am

    ย่านางสมุนไพรหมื่นปีไม่มีแก่

    .บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Ya

    ทุก วันนี้เราคุ้นเคยกับใบย่านางในรูปของเครื่องปรุงแต่งกลิ่นรสอาหารพื้นบ้าน ไทยๆ
    จนเข้าใจกันว่าเป็นพืชผักชนิดหนึ่ง ทว่าในความเป็นจริง
    ย่านางคือสมุนไพรใกล้ตัวคู่บ้านคู่ครัวไทยมาแล้วหลายยุคหลายสมัย


    หมอยาภาคอีสานโบราณจะเรียก ชื่อของย่านางว่า "ย่าหมื่นปีไม่แก่"
    เพราะด้วยสรรพคุณ มากมาย ตั้งแต่ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ รวมไปถึงรักษาโรคมะเร็ง
    ที่สำคัญยังเป็นสมุนไพรใกล้ตัวที่เมื่อนำมาปรุงเป็นอาหารแล้วยังมีรสชาติ อร่อยถูกปากได้หลายเมนู
    จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมขณะนี้ ย่านาง จึงกลายเป็นสมุนไพรที่ได้รับความสนใจมากที่สุดอีกชนิด

    ลักษณะของต้นย่านาง จะเป็นเถาไม้เลื้อย เถามีรูปร่างกลมขนาดเล็กแต่มีความเหนียว
    เถาสีเขียวเมื่อเถาแก่จะมีสีเข้มคล้ำ บริเวณเถามีข้อห่างๆ เถาอ่อน มีขนอ่อนปกคลุม
    เมื่อแก่แล้วผิค่อนข้างเรียบ

    รากมีหัวใต้ดิน

    ใบเป็นใบเดี่ยวคล้ายใบพริกไทย ออกติดกับลำต้นแบบสลับรูปร่าง
    ลักษณะคล้ายรูปไข่หรือรูปไข่ขอบขนาน ปลายใบเรียว
    ฐานใบมน ขนาดใบยาว 5-10 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ ผิวใบเป็นคลื่นเล็กน้อย
    ใบย่างนางที่ขึ้นในภาคใต้จะเรียวยาวแหลมกว่า สีเขียวเข้ม หน้าและหลังใบเป็นมัน

    ดอกออกตามซอกใบ ซอกโคนก้าน ช่อหนึ่งๆ จะมีดอกขนาดเล็กสีเหลือง 3-5 ดอก
    ออกดอกแยกเพศอยู่คนละต้น ไม่มีกลีบดอก ขนาดอกโตกว่าเมล็ดงาเล็กน้อย
    มักออกดอกช่วงเดือนเมษายน ผลมีรูปร่างกลมเล็กขนาดเท่าผลมะแว้งสีเขียว
    เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมแดงหรือแดงสดเมื่อแก่จัดจนสุกงอมจะกลายเป็น สีดำ


    การ ปลูกย่านางสามารถปลูกได้ในดินทุกชนิดและปลูกได้ทุกฤดู
    โดยขยายพันธุ์ด้วยการใช้หัวใต้ดินหรือเถาแก่ที่ติดหัว
    นอกจากนี้ยังสามารถขยายพันธุ์ได้ทั้งการปักชำยอดและเพาะเมล็ด


    นักบำบัดสุขภาพทางเลือก หมอเขียว-ใจเพชร กล้าจน นักวิชาการสาธารณสุข
    กลุ่มงานเวชกรรมสังคม ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของย่านาง
    รวมถึงได้นำมาทดลองบำบัดโรคแล้วพบว่า ย่านางมีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์มากมาย


    "ผมพบความมหัศจรรย์ของย่านาง ครั้งแรก
    เมื่อคุณแม่ของผมตกเลือดจากมดลูกอย่างรุนแรง
    จากนั้นผมตัดสินใจใช้ย่านางเป็นสมุนไพรหลักในการบำบัดอาการคุณแม่
    ผลปรากฏว่าอาการดังกล่าวทุเลาลงอย่างรวดเร็วภายใน 3 วัน เลือดหยุดไหล
    และเมื่อใช้ย่านางบำบัด อีกสามเดือนต่อมา มดลูกที่โตถึง 16 ซม.
    ก็ยุบลงเหลือเท่าขนาดปกติ คือเท่าผลชมพู่ ผิวมดลูกที่ขรุขระเหมือนหนังคางคกก็หายไป
    อาการตกขาวก็หายไปด้วย ต่อมาผมทดลองใช้ย่านางกับผู้ป่วยมะเร็งตับ
    ผู้ป่วยก็อาการดีขึ้น เมื่อครบ 3 เดือนไปตรวจอัลตร้าซาวนด์พบว่า มะเร็งฝ่อลง
    จากนั้นก็ทดลองกับผู้ป่วยโรคเกาต์ให้ดื่มน้ำย่านางต่อเนื่องสามเดือน
    อาการปวดข้อก็หายไป พอไปตรวจที่โรงพยาบาลไม่พบโรคเกาต์
    ซึ่งทางการแพทย์แผนปัจจุบันได้ทดลองกับผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง
    พบว่า หลังจากดื่มน้ำย่านางต่อเนื่อง สามารถลดน้ำตาลในเลือดและลดความดันโลหิตได้จริง"
    ส่วนการศึกษาข้อมูลอื่นของย่านาง หมอเขียวได้ให้ความรู้เอาไว้ดังนี้


    *ใบย่านางกับการบำบัดโรค
    เช่น ตาแดง ตาแห้ง แสบตา ปวดตา ตามัว กล้ามเนื้อเกร็งค้าง
    เกิดฝีหนอง น้ำเหลืองเสียตามร่างกาย ท้องผูก แสบท้อง มีผื่นที่ผิวหนัง ปื้นแดง
    มีตุ่มใสคัน เป็นเริม งูสวัด หายใจร้อน เสมหะเหนียวข้น อ่อนเพลีย เจ็บปลายลิ้น
    หูอื้อ ตาลาย เกร็ง ชัก โรคหัวใจ ไซนัสอักเสบ ตับอักเสบ
    กระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ ไทรอยด์เป็นพิษ ริดสีดวงทวาร มดลูกโต
    ตกขาว ตกเลือด ปวดมดลูก หอบหืด ไตอักเสบ ไตวาย นิ่วในไต
    นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี ไส้เลื่อน ต่อมลูกหมากโต เบาหวาน
    เนิ้องอก มะเร็ง และพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย เป็นต้น

    *ย่า นาง...ปรุงรสเพื่อปรับสมดุลให้ร่างกาย
    การปรับสมดุลให้ร่างกาย สามารถทำได้โดยใช้ใบย่านางในการเพิ่มคลอโรฟิลล์
    คุ้มครองเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์ ปรับสมดุล บำบัด
    หรือบรรเทาอาการที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกินไป ดังนี้

    1. เด็ก ใช้ใบย่านาง 1-5 ใบต่อน้ำ 1-3 แก้ว (200-600 ซีซี)
    2. ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอมบาง เล็ก ทำงานไม่ทน ใช้ 5-7 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
    3. ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอมบาง เล็ก ทำงานทน ใช้ 7-10 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
    4. ผู้ใหญ่ที่รูปร่างสมส่วนถึงตัวโต ใช้ 10-20 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
    โดยใช้ใบย่านางโขลกละเอียดแล้วเติมน้ำ หรือขยี้ใบย่านางกับน้ำ
    หรือปั่นในเครื่องปั่น (แต่การปั่นเครื่องปั่นไฟฟ้าจะทำให้ประสิทธิภาพลดลงบ้าง
    เนื่องจากความร้อนจะไปทำลายความเย็นของย่านาง)
    แล้วกรองผ่านกระชอนเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1/2-1 แก้ว วันละ 2-3 เวลา
    ก่อนอาหารหรือตอนท้องว่าง หรือผสมเจือจางดื่มแทนน้ำเปล่าในอุณหภูมิห้องปกติ
    ควรดื่มภายใน 4 ชั่วโมงหลังจากทำน้ำย่านาง เพราะถ้าปล่อยเกิน 4 ชั่วโมง
    มักจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวไม่เหมาะที่จะดื่ม ส่งผลให้เกิดภาวะร้อนเกิน
    แต่ถ้าแช่ในน้ำเย็นหรือตู้เย็น ควรใช้ภายใน 3-7 วัน โดยให้สังเกตที่กลิ่นเหม็นเปรี้ยวเป็นหลัก
    ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

    ขอขอบคุณ : นิตยสาร แม่บ้าน ผู้สนับสนุนเนื้อหา
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Tue Jun 21, 2011 9:52 am

    วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553

    แพทย์แผน พุทธ 0 บาทรักษาทุกโรค

    ศูนย์บาท รักษาทุกโรค "หมอเขียว" ใจเพชร กล้าจน
    ณ สวนป่านาบุญ อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร

    การที่ ชายคนหนึ่งเปลี่ยนชื่อตนเองจาก "สำเริง มีทรัพย์" เป็น "ใจเพชร กล้าจน"
    ในทางหนึ่งเป็นความพยายามบอกกับทุกคนถึงสิ่งที่เขายึดเหนี่ยว

    จุด หมายชีวิตแท้จริงที่ชายผู้นี้ยึดถือ คือ ความพยายามช่วยเหลือให้เพื่อนมนุษย์
    ได้หายจากโรคภัย โดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท... ด้วยการรักษาแบบ "แพทย์วิถีพุทธ"

    "หมอเขียว" หรือ ใจเพชร กล้าจน จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ
    เขาพยายามรักษาผู้ป่วยตามวิชาแพทย์ที่ได้ร่ำเรียนมาอย่างเต็มที่
    แต่พอทำไปได้ชั่วระยะ คนเป็นหมอก็ต้องผจญกับคำถามในใจที่ไหนคำตอบกับตัวเองไม่ได้เสียที

    "ทำไมทุกคนยังป่วย ทั้งที่เครื่องมือแพทย์ทันสมัยขึ้น ทำไมรักษาไปแล้วแพงขึ้นทุกวัน
    ที่สำคัญเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกลับป่วยแซงหน้าชาวบ้านอีก"

    ยิ่งคิด ก็ยิ่งงง เขาว่า ไม่เพียงเท่านั้น ตัวหมอเองที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดและปวดข้อ
    ใช้ยาที่ดีที่สุดของโรงยาบาลรักษาแล้วแต่ก็ไม่หายความสงสัยนี้ทำให้หันกลับ
    มาศึกษาแพทย์ ทางเลือกและนำมาใช้ร่วมกับแผนปัจจุบันผลปรากฏว่า
    คนไข้หายเพิ่มขึ้นเกือบเท่า ตัว แต่นับแล้วก็ยังได้แค่ 40 เปอร์เซ็นต์ของคนไข้ทั้งหมด
    ซึ่งทำให้หมอเขียวยังคาใจต่ออีกว่า ทำไมอีก 60 เปอร์เซ็นต์ รักษาไม่ได้
    คนที่รักษาได้ก็กลับมาเป็นใหม่ หรือการแพทย์ที่ทำอยู่จะมาผิดทาง
    หมอเขียวเครียดกับเรื่องนี้มากจนต้องไปปฏิบัติธรรม
    แต่พอได้อ่านพระไตรปิฎกก็พบว่า คำตอบทั้งหมดอยู่ในนี้แล้ว

    หนึ่ง ในคำสอนที่นำมาพิจารณา คือ เรื่องสังคีติสูตร
    หมอเขียวคิดไปถึงเรื่องสมดุลของร่างกาย เรื่องปรับร้อน-ปรับเย็น
    ซึ่งมีในศาสตร์แพทย์แผนไทยอยู่แล้ว เพียงแต่ยังใช้ไม่ได้ผลดี
    เพราะมัวแต่ปฏิบัติตามตำราซึ่งเขียนในสมัยโบราณ ในขณะที่โลกปัจจุบันร้อนขึ้น
    การปรับร้อน-เย็นจึงต้องเปลี่ยนตามโลก เพื่อให้เกิดสมดุลที่แท้จริง

    หมอเขียวลองรักษาโดยวิเคราะห์ ธาตุร้อน - เย็น ด้วยตนเอง
    ให้ยาฤทธิ์เย็นมากขึ้นตามโลกที่ร้อนขึ้น เริ่มจากรักษาแม่ที่ปวดมดลูกให้หายได้
    ทั้งที่แพทย์ปัจจุบันหาสาเหตุไม่พบ จากนั้นก็ใช้แนวทางดังกล่าวไปรักษาโรคมะเร็ง
    โรคไต โรคความดัน และบันทึกการรักษาทุกครั้ง ผลปรากฏว่าคนไข้ร้อยละ 90
    อาการทุเลา รู้สึกสบายขึ้น เมื่อค้นพบว่าการรักษาที่ได้ผลจริงนั้น พระพุทธเจ้าได้สอน
    ไว้หมดแล้ว หมอจึงประมวลความรู้ทั้งหมด และเรียกชื่อว่า "การแพทย์วิถีพุทธ"

    ใจความของการแพทย์แผนนี้ คือ ใช้คำสอนของพระพุทธเจ่าเป็นแก่นแกน
    นำจุดดีของการแพทย์ต่าง ๆ มารวมกัน โดยมีธรรมะเป็นตัวเชื่อมประสานบูรณาการ
    โดยมีหลักการ 3 ข้อ คือ ใช้สิ่งที่ประหยัดและเรียบง่าย มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา
    เพราะแก้ที่ต้นเหตุ และแต่ละคนทำเองได้ ไม่ต้องให้หมอรักษา แต่รักษาตัวเอง

    ยา 9 เม็ดที่หมอเขียวใช้รักษาก็ไม่มีราคาค่างวด เพราะเป็นหลักปฏิบัติ 9 ประการที่ทำได้เอง
    ได้แก่ รับประทานสมุนไพรปรับสมดุล แช่มือเท้าในน้ำสมุนไพร
    รับประทานอาหารปรับสมดุล ใช้ธรรมะคลายเครียด ออกกำลังกาย
    กดจุดลมปราณรู้จักเพียรและพักให้พอดี ทำกัวซา ดีทอกซ์
    และพอก ทา หยอด ประคบ อบ อาบ ด้วยสมุนไพรที่ถูกกัน
    เมื่อไม่ต้องเสียค่ายาแพง ๆ หรือเสียค่าหมอ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า "ศูนย์บาท รักษาทุกโรค"

    นอก จากเหนือจากมิติทางสุขภาพ หมอเขียวยังให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตแบบพุทธอย่างครบวงจร
    ดังที่ได้สละพื้นที่กว่า 40 ไร่ เพื่อตั้ง "สวนป่านาบุญ" ซึ่งเป็นศูนย์เศรษฐกิจพอเพียง
    ใช้ปลูกข้าว ผัก พืชสมุนไพร เพื่อเตรียมความพร้อมในการพึ่งพาตนเองก่อนที่ต่อมา
    จะเปิดเป็นศูนย์สุขภาพให้ ผู้คนเข้ามาเก็บเกี่ยวความรู้เรื่องการใช้ชีวิตตามแนววิถีพุทธอีกด้วย

    ความตั้งใจทั้งหมดของหมอเขียว ไม่เพียงทำให้หลาย ๆ คนได้เห็นว่า ชีวิตที่ดี ไม่มีโรคภัย
    ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากๆ ไปแลกหาจากการแพทย์สมัยใหม่
    หากแต่ยังมีนัยไปถึงวิถีพุทธ วิถีไทย ในแบบที่เราเป็นนั่นเอง ที่เพียงพอแล้วสำหรับความสุข


    อาหาร อากาศ อารมณ์ บ่อเกิดแห่งโรคภัยไข้เจ็บ
    หากเรียนรู้ที่จะปรับให้เป็นประัโยชน์สูงสุดต่อร่างกาย นั่นหมาย
    ถึงว่าสุขภาพร่างกายของเราย่อมแข็งแรงและต่อสู้เอาชนะโรคภัยไข้เจ็บได้เอง

    " อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา
    อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ. "

    ตนแลเป็นที่พึ่งของตน, บุคคลอื่นใครเล่า พึงเป็นที่พึ่งได้
    เพราะบุคคล มีตนฝึกฝน ดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่ง อันบุคคลได้โดยยาก.

    ที่มา: My Inspiration For Life: แพทย์แผนพุทธ 0 บาทรักษาทุกโรค



    http://myinspiration4life.blogspot.com/2010/06/0-2.html Laughing
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Tue Jun 21, 2011 9:56 am

    9 สมุนไพรเพื่อผู้หญิง

    เพราะผู้หญิงกับความสวยความงามเป็นของ คู่กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
    แต่ความสวยในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความสวยเฉพาะภายนอกนะคะ
    ต้องสวยทั้งภายในและภายนอกนี่สิ ถึงจะเรียกว่าสมบูรณ์แบบจริง
    เพราะผู้หญิงไม่เหมือนกับผู้ชาย ไม่มีต่อมลูกหมากให้อักเสบ
    ไม่ต้องทรมานใจจากศีรษะล้าน แต่ก็ใช่ว่าผู้หญิงจะไมมีปัญหาอะไรเลย
    อย่างเรื่องของวัยทองยังไงล่ะคะ ทั้งอาการร้อนวูบวาบ ปวดศีรษะ ฯลฯ
    แต่โชคดีที่อย่างน้อยเราสามารถเยียวยาอาการดังกล่าวได้ด้วยวิธีธรรมชาติ
    ซึ่งสมุนไพร 9 ชนิด นี้จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 King

    1. Black Cohosh - สำหรับ ผู้หญิงที่มีอาการร้อนวูบวาบ และเหงื่อออกตอนกลางคืน

    จากงานวิจัยล่าสุดพบว่า สมุนไพรชนิดนี้สามารถช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ
    และอาการเหงื่อออกตอนกลางคืนของหญิงวัยทองได้ดี
    เชื่อกันว่าการออกฤทธิ์ของสารใน Black Cohosh คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย

    2. Chaste Tree Berry - สำหรับ อาการปวดประจำเดือน

    ผู้หญิงที่ได้เข้าร่วมทดลองกิน Chaste Tree Berry กว่า 52%
    ต่างพูด เป็นเสียงเดียวกันว่า อาการระคายเคือง หงุดหงิดง่าย
    และปวดศีรษะในช่วงก่อนมีประจำเดือนหายเป็นปลิดทิ้ง
    เมื่อได้กิน Chaste Tree Berry นอก จากนี้
    สมุนไพรดังกล่าวยังช่วยให้รอบเดือนมาเป็นปกติอีกด้วย

    3. Cranberry - สำหรับการ ป้องกันการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ

    หลายคนคงคุ้นชื่อสมุนไพรชนิดนี้ เป็นอย่างดี แครนเบอร์รี่มีผลยับยั้ง
    การยึดเกาะของเชื้อโรคกับผนังทางเดินปัสสาวะและ กระเพาะปัสสาวะ
    จึงป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ แต่สำหรับผู้ที่เป็นแผลในทางเดินอาหาร
    ไม่ควรรับประทานนะคะ เนื่องจากแครนเบอร์รี่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ
    อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้

    4. Dong Quai - สำหรับ สุขภาพโดยรวม

    อีกหนึ่งสมุนไพรที่ได้รับการกล่าวขาน ว่า เป็นโสมสำหรับผู้หญิง
    เพราะตังกุยช่วยให้รู้สึกสดชื่น มีรอบเดือนเป็นปกติ และคลายกังวลได้ดี
    เนื่องจากมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนอ่อนๆ
    ชาวจีนโบราณนิยมใช้ตังกุยในการเพิ่มธาตุ หยินให้ร่างกายอีกด้วย

    5. Flaxseed - สำหรับสุขภาพ ของหัวใจ

    Flaxseed อุดมไปด้วยกรดไขมัน จำเป็นชนิด omega3
    ที่ช่วยควบคุม ระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งการลดลงของระดับคอเลสเตอรอลนี้
    จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและโรคเส้นเลือดในสมองแตกได้

    6. Feverfew - สำหรับการปวด ศีรษะ

    Feverfew สามารถช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดจาก
    การปวดศีรษะ ลดความถี่ของการปวดศีรษะ และลดอาการอักเสบ
    ที่เกี่ยวกับการหดตัวของหลอดเลือดได้ แต่คุณผู้หญิงที่กำลังตังครรภ์
    และผู้ที่ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดไม่ ควรกิน Feverfew นะ คะ

    7.Turmeric – ป้องกันการ แบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง

    ขมิ้นมีสาระสำคัญคือ Curcuminoids ซึ่งเป็น สารต้านการอักเสบ
    และต้านอนุมูลอิสระ ขมิ้นกำลังเป็นที่นิยมและประสบความสำเร็จ
    ในการเป็นยารักษามะเร็ง เนื่องจากสามารถป้องกันการแบ่งตัวของมะเร็งได้

    8.Green Tea - ต้าน มะเร็ง

    จากวิจัยพบว่า ชาเขียวมีฤทธิ์ต้านมะเร็งในระยะเริ่มแรกได้
    เพราะสาร Epigallocatechin gallate (EGCG) จะ ไปขัดขวางการเจริญเติบโต
    ของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์ มะเร็ง ทั้งยังจะไปจับกับโปรตีนบางชนิด
    ในเซลล์ปกติเพื่อยับยั้งการเปลี่ยนเป็นเซลล์ มะเร็ง

    9.Ginger - ระงับอาการคลื่น ไส้

    สำหรับผู้หญิงที่มีอาการคลื่นไส้ระหว่าง ตั้งครรภ์ ขิงเป็นสมุนไพร
    ที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งอาการคลื่นไส้อาเจียนได้เป็น อย่างดี
    นอกจากนี้ยังสามารถช่วยระงับอาการคลื่นไส้เนื่องจากเมารถ
    หรือจากการได้รับยาต้านมะเร็งได้อีกด้วย

    เรื่อง ใบเตย

    ขอขอบคุณ : นิตยสารเปรียว ผู้สนับสนุนเนื้อหา
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Tue Jun 21, 2011 10:01 am


    10 สมุนไพรคลายเครียด

    ความเครียดดูจะเป็นของคู่กันสำหรับคนวัยทำงาน
    เพื่อนบางคนอาจหาทางออกให้กับความเครียด
    ด้วยการพึ่งยาชนิดต่างๆเพื่อช่วยคลายเครียด
    ซึ่งเป็นยาที่ทำจากสารเคมี และอาจมีผลข้างเคียง
    แถมต้องกินยาอยู่เรื่อยๆ จนเกิดผลเสียตามมา คือ ติดยา ดื้อยา
    และในที่สุดเกิดการสะสมพิษซึ่งส่งผลในระยะยาวต่อร่างกายของเราได้

    แต่ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งของคนไทยที่ทั้งปลอดภัย
    และเหมาะสมกับยุคข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ นั่นคือสมุนไพร
    ซึ่งมีสรรพคุณในการรักษาและบรรเทาอาการเจ็บไข้ในเบื้องต้นได้จริง

    เริ่มต้นจากสมุนไพรใกล้ตัวเราดังนี้



    1.ขี้เหล็ก
    หลายคนคงเคยกินแกงขี้เหล็ก
    เมนูเด็ดที่มีรสชาติกลมกล่อมหวานมันซ่อนขมเล็กน้อย
    ซึ่งรสขมๆของขี้เหล็กนั้นช่วยทำให้เจริญอาหาร
    มีการศึกษาพบว่า ใบอ่อนและดอกตูมของขี้เหล็ก
    มีสารที่ชื่อว่า แอนไฮโดรบาราคอล (Anhydrobarakol)
    ซึ่งมีสรรพคุณช่วยคลายเครียด และมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับอ่อนๆอีกด้วย

    เรามีวิธีนำขี้เหล็ก มาปรุงเป็น ยาสมุนไพรคลายเครียด 2 สูตร ดังนี้
    • นำใบอ่อนและดอกตูมแห้ง 30 กรัม (หากเป็นชนิดสดใช้ 50 กรัม )
    ใส่โหลแก้ว เทเหล้าขาวใส่พอท่วมยา แช่ไว้ 7 วัน
    หมั่นคนบ่อยๆทุกวัน เมื่อครบ 7 วัน
    ใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำยา จิบครั้งละ 1-2 ช้อนชาก่อนนอน

    • ใช้ใบอ่อนแห้งประมาณ 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 1 ลิตร
    กรองด้วยผ้าขาวบางเอาแต่น้ำ ดื่มก่อนนอนครั้งละ 1 แก้ว
    ข้อควรระวัง คือ ห้ามดื่มมากเกินไป เพราะอาจทำให้ท้องเสียได้



    2.ชุมเห็ดไทย
    เป็นสมุนไพรไทยอีกชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณกล่อมประสาท
    คลายเครียดและทำให้นอนหลับได้ดี

    วิธีทำ นำเม็ดชุมเห็ดไทยประมาณ1-3ช้อนโต๊ะ (5-15 กรัม)
    มาคั่วจนเกรียมต้มกับน้ำ 1 ลิตร เคี่ยวจนเหลือ 600 มิลลิลิตร
    รับประทานเช้า-กลางวัน-เย็น หลังอาหาร

    หรือชงแทนน้ำชาได้ โดยใส่เมล็ดที่คั่วแล้ว 1 หยิบมือ
    ลงในกาน้ำชาขนาดประมาณครึ่งลิตร เติมน้ำร้อนให้เต็ม
    ดื่มวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร



    3.ดอกบัวหลวง
    ใช้ดอกบัวหลวงสีขาวใกล้จะบาน 5 ดอก ต้มกับน้ำ 1 ลิตร
    ให้เดือดนาน 10 นาที ดื่มครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้ง หรือดื่มได้ทั้งวัน
    ชาดอกบัวหลวงจะมีรสฝาดๆหอมๆ ดื่มแล้วชุ่มชื่นหัวใจ
    ทำให้หายอ่อนเพลีย สดชื่นขึ้น แถมช่วยให้นอนหลับสบาย



    4.พริกไทย
    นำต้นพริกไทยแห้งที่หั่นแล้วประมาณ 1 หยิบมือมาคั่ว
    แล้วใส่ในกาชา เติมน้ำร้อนจนเต็ม ชาต้นพริกไทยดื่มได้ทั้งวัน
    หรือวันละ 3-4 ครั้ง ทำให้สมองปลอดโปร่งและช่วยลดความเครียดได้ดีมาก



    5.พลู
    นำใบหรือเถาพลูมาคั่วหรืออบให้แห้ง ชงดื่มแทนน้ำชาได้
    โดยใช้ใบหรือเถาพลูที่คั่วแล้วประมาณ 1 หยิบมือต้มน้ำร้อน 1 ลิตร
    หรือชงใส่น้ำ 1 กาน้ำชา ดื่มวันละ 3-4 ครั้ง หรือดื่มทั้งวันก็ได้
    ชาพลูจะออกรสเผ็ดร้อนเล็กน้อย ทำให้ตาสว่างสดชื่นขึ้น และแก้เครียดได้



    6.พวงชมพูดอกขาว
    ใช้เถาแห้ง 1 กำมือ หรือรากแห้ง ½ กำมือ ต้มกับน้ำ 4 ถ้วย
    ต้มให้เหลือ 2 ถ้วย รับประทานครั้งละ 3 ช้อนโต๊ะ ก่อนนอน
    ช่วยกล่อมประสาท และทำให้นอนหลับได้ดี



    7.ฟ้าทะลายโจร
    ใช้ต้นฟ้าทะลายโจรตากแห้งประมาณ 1 กำมือใหญ่ๆ
    หั่นและต้มกับน้ำ 1 ลิตร กรองด้วยผ้าขาวบางเอาแต่น้ำ
    ดื่มครั้งละ 1 แก้ว เช้า-เย็นก่อนอาหาร
    แก้อาการปวดหัวโดยไม่มีสาเหตุ และคลายเครียดได้



    8.มะนาวหรือมะกรูด
    สมุนไพรใกล้ตัวที่มีอยู่ทุกครัวเรือนมีสรรพคุณช่วยให้นอนหลับ
    บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย และทำให้หายเครียดได้
    ซึ่งมีวิธีทำง่ายๆ 2 วิธี ได้แก่

    • ใช้ลูกมะนาวหรือมะกรูด 1 ลูก ผ่าซีกบีบเอาแต่น้ำใส่แก้ว
    เติมเกลือและน้ำตาลทรายไม่ขัดขาวอย่างละครึ่งช้อนกาแฟ
    ใส่น้ำร้อนให้เต็มแก้ว คนให้เข้ากัน ดื่มอุ่นๆทันทีเมื่อมีอาการ
    จะช่วยคลายเครียดได้รวดเร็ว แต่หากดื่มมากเกินไปอาจทำให้ท้องเสียได้

    • นำใบมะนาวหรือมะกรูดแห้งประมาณ 1 หยิบมือมาคั่ว
    นำไปใส่กาน้ำชา เติมน้ำร้อนจนเต็ม ชงเป็นชาดื่มได้ทั้งวัน
    หรือวันละ 3-4 ครั้ง ช่วยขับเลือดลมและแก้เครียดดีมาก



    9.มะเฟือง
    ใช้มะเฟืองที่แก่จัด 1 ผล ล้างให้สะอาด หั่นและแกะเมล็ดออก
    คั้นน้ำใส่แก้ว เติมเกลือครึ่งช้อนกาแฟ และเทน้ำร้อนลงไปให้เต็มแก้ว
    คนให้เข้ากัน ดื่มครั้งละ 1 แก้ว เช้า-เย็นก่อนอาหาร
    ช่วยระงับความฟุ้งซ่าน ทำให้นอนหลับง่ายขึ้น



    10.มะละกอ
    ใช้ลูกมะละกอขนาดเขื่องๆ (8 ขีด-1 กิโลกรัม) 1ลูก
    ปอกเปลือก ล้างน้ำให้สะอาด แกะเมล็ดออก แล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นบางๆ
    ต้มกับน้ำ 1 ลิตร นานประมาณ 15-20 นาที หรือจนกระทั่งน้ำเดือด
    ยกลง กรองด้วยผ้าขาวบางเอาแต่น้ำ ยกน้ำที่ได้ตั้งไฟอีกครั้ง
    นำใบชาชนิดใดก็ได้ใส่ลงไป 1 หยิบมือ
    ต้มต่อจนน้ำเดือด ดื่มแทนน้ำชาได้ทั้งวัน

    ทีนี้คุณจะเริ่มรู้สึกสบายเพราะนอกจากช่วยให้คลายเครียดแล้ว
    สมุนไพรบางชนิดยังช่วยให้ผ่อนคลาย ทำให้หลับลึกหลับสนิท
    และรู้สึกสดชื่นทันทีเมื่อตื่นขึ้นอีกด้วย


    จากคอลัมน์ : เยียวยาก่อนหาหมอ
    นิตยสาร : ชีวจิต ฉ. 241 (ปักษ์แรก ตุลาคม 2551),
    ภาพจาก internet[b]
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Tue Jun 21, 2011 10:13 am

    ทำไมการดื่มน้ำวันละ 8 แก้วจึงช่วยกำจัดสิวได้

    การ ดื่มน้ำสะอาดนั้นถือเป็นสิ่งจำเป็น
    และมีประโยชน์ในการทำความสะอาดผิวและ สุขภาพโดยรวม
    เนื่องจากน้ำเป็นตัวลำเลียงสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย
    และมีความเกี่ยวเนื่องในการรักษาและป้องกันการเกิดสิวได้
    ควรดื่มน้ำวันละกี่แก้ว? คำตอบคืออย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวันเพื่อให้ผิวสวยสุขภาพดี
    ร่าง กายของคนเรานั้นประกอบด้วยส่วนที่เป็นน้ำถึง 70%
    และมีส่วนร่วมในกระบวนการทำงานของร่างกายแทบจะทุกส่วน
    รวมถึงระบบย่อยอาหาร, การดูดซึม, ระบบไหลเวียนของเลือด และการขับถ่าย
    น้ำ ยังทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหารไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
    หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้สารพิษก่อตัวขึ้นอันเป็นเหตุให้เกิดสิว
    จึงควรดื่มน้ำเพื่อให้น้ำกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย

    ไตซึ่งทำหน้าที่ กำจัดของเสียออกจากร่างกายก็จำเป็นที่
    จะต้องใช้น้ำในกระบวนการดังกล่าว ดังนั้นการดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
    จะเป็นการกำจัดของเสียและสารพิษออกจากร่างกายทางผิวหนังได้ด้วย
    จึงทำให้รูขุมขนสะอาดและป้องกันการเกิดสิวได้

    ไต ของเราก็ไม่อาจทำหน้าที่ได้เป็นปกติหากได้รับน้ำไม่เพียงพอในการขับสารพิษ
    ออกจากร่างกาย และเมื่อทำงานไม่เต็มที่ก็จะมีบางส่วนที่จะถูกเก็บไปไว้ที่ตับ
    หน้าที่ ของตับก็คือการเผาผลาญไขมันเพื่อให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
    แต่ถ้าตับต้องรับหน้าที่จากไตเพิ่มด้วย ก็จะทำให้ตับทำงานได้ไม่สมบูรณ์
    เมื่อตับทำงานได้ไม่สมบูรณ์ก็มีผลทำให้เกิดสิวได้ เนื่องจากตับ
    ไม่สามารถหยุดการทำงานและขจัดฮอร์โมนส่วนเกินจากร่างกายได้

    ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับน้ำ
    น้ำ เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการลดน้ำหนักและทำให้ไม่ค่อยหิว
    ทั้งยังช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันที่สะสมเอาไว้ด้วย
    การศึกษาพบว่าเมื่อดื่มน้ำปริมาณน้อยลงจะทำให้ร่างกาย
    สะสมไขมันเพิ่มขึ้น ในขณะที่เมื่อดื่มน้ำปริมาณมากขึ้นก็จะช่วยลดไขมันสะสมได้

    การดื่มน้ำวันละ 8 แก้วจะช่วยกำจัดน้ำเสียที่คั่งอยู่ในร่างกายได้
    ซึ่งการคั่งค้างของน้ำเสียในร่างกายได้แก่โซเดียม
    น้ำสะอาดจะช่วยขจัดโซเดียมออกจากร่างกายได้
    น้ำยังช่วยบรรเทาอาการท้อง ผูก เมื่อร่างกายได้รับน้ำน้อยเกินไป
    ร่างกายก็จะดึงน้ำจากส่วนอื่น ๆ ภายในระบบของร่างกายมาใช้แทน
    ระบบลำไส้เป็นส่วนแรกที่ร่างกายจะดึงเอาน้ำออกมาใช้ทดแทนเพื่อไหลเวียนใน
    ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย จึงเป็นเหตุทำให้ท้องผูก
    แต่หากดื่มน้ำสะอาดเพียงพอลำไส้ก็จะทำหน้าที่ตามปกติได้ดังเดิม
    ดังนั้นการดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
    จึงจำเป็นสำหรับผิว เพื่อผิวที่สะอาดสดใสมีสุขภาพดี

    ถ้าเห็นว่าบทความนี้ประโยชน์และนำไปใช้ในเวบหรือ blog ส่วนตัว
    กรุณาทำลิงค์มาที่เราด้วยนะครับ

    http://www.acnethai.com/index.php?option=com_content&view
    =article&id=332:2009-02-04-14-39-03&catid=54&Itemid=8
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Tue Jun 21, 2011 10:30 am

    24 สมุนไพร ที่ควรปลูกไว้เป็นยาสามัญประจำบ้าน

    กานพลู แก้ปวดฟัน ละลายเสมหะ ดับกลิ่นปาก

    ขมิ้นชัน แก้โรคกระเพาะ โรคท้องอืดท้องเฟ้อ

    ขิง ขับลม ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ กำจัดกลิ่น

    ขี้เหล็ก เป็นยาระบาย ช่วยให้นอนหลับ

    ช้าพลู ลดเสมหะ ช่วยเจริญอาหาร บำรุงธาตุ

    ชุมเห็ดเทศ แก้กลากเกลื้อน โรคผิวหนัง

    ตะไคร้ ลดความดัน ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว

    ตำลึง แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย รักษาโรคเบาหวาน

    บอระเพ็ด แก้ไข้ ขับเหงื่อ แก้ร้อนใน ช่วยเจริญอาหาร

    บัวบก แก้ร้อนใน กระหายน้ำ รักษาโรคปากเปื่อย ปากเหม็น แก้ปวดศีรษะข้างเดียว

    ใบเตย บำรุงหัวใจ รักษาโรคเบาหวาน

    พลู แก้ฝีอักเสบ เคล็ดขัดยอก แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ

    เพชรสังฆาต แก้ริดสีดวงทวาร

    ไพล แก้ฟกช้ำ เคล็ดขัดยอก ลดอาการอักเสบ

    ฟ้าทะลายโจร แก้ไข้ แก้เจ็บคอ แก้ท้องเสีย

    มะระขี้นก เป็นยาระบาย ถ่ายพยาธิ ช่วยเจริญอาหาร

    มะแว้งเครือ แก้ไอ ขับเสมหะ

    รางจืด ถอนพิษเบื่อเมา พิษไข้ พิษผิดสำแดง

    ว่านหางจระเข้ รักษาแผลสด แผลเรื้อรัง ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

    สาระแหน่ ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร

    เสลดพังพอนตัวเมีย แก้แมลงกัดต่อย ผื่นคัน ลดอาการผิวหนังอักเสบ

    หญ้าหนวดแมว บำรุงไต ขับปัสสาวะ รักษาโรคหนองใน

    หนุมานประสานกาย แก้หวัด ภูมิแพ้ หอบหืด

    อบเชยเถา รักษาอาการหน้ามืด ตาลาย อาการวิงเวียนศีรษะ และช่วยขับลมในลำไส้
    __________________

    ไปเจอมาเลยเอามาฝากน่ะคะ ถ้าซ้ำต้องขออภัยด้วย
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Tue Jun 21, 2011 10:33 am

    โรงพยาบาลธรรมชาติ
    ข้อมูลดีมากเลย

    หัวจดเท้ารักษาเองได้ก่อนไป หาหมอ

    ๑. ไขมันในเลือดสูง แทนที่จะหายามากินให้ปวดหัว ตับพังก็หากระเทียมสดมากิน
    สักวันละ ๑๐ กลีบกับกินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัว

    ๒. ปวดหัว ให้หาผักคะน้าหรือปวยเล้ง (แมกนีเซียม) กินวันละ ๕ ขีด
    และกินปลาทูอีกวันละ ๒ ตัว (น้ำมันปลาลดการอักเสบได้) หรือจะชงโกโก้กินหน่อยก็ช่วยได้ค่ะ

    ๓. เป็นหวัด ไอ จามบ่อย ให้หมั่นแปรงลิ้นและกินกระเทียม, หอม, พริกให้มากเข้าไว้

    ๔. ภูมิแพ้ แค่กินฝรั่งวันละ ๕ ชิ้นกับเมล็ดฟักทองวันละ ๑ กำมือ (สังกะสี)

    ๕. แพ้ฝุ่นละออง ไรฝุ่น หาโยเกิร์ตแบบรสธรรมชาติและนมเปรี้ยวไม่หวานจัดมากิน

    ๖.โรคหืดหอบ ไอเรื้อรัง กินต้มยำไก่, กินหัวหอมใหญ่, หอมแดง,
    ต้นหอมและเอาหอมซุกไว้ใต้หมอน

    ๗.นอนไม่หลับ ตักน้ำผึ้งกินก่อนนอนสักวันละ ๒ ช้อนโต๊ะ
    ถ้าหาน้ำผึ้งไม่ได้ใช้น้ำตาลทราย ๒ ช้อนโต๊ะแทน ถ้าอยากให้หลับสบาย
    เพิ่มเติมขี้เหล็กและมะรุมเข้าไปหน่อย

    ๘. ไขข้ออักเสบ หาปลาเนื้อมันกินวันละ ๒ ขีด เช่นปลาทู, ปลาสวาย,
    ปลาแซลม่อน, ปลาซาร์ดีน, ปลาทูน่าหรือแม้แต่ปลากระป๋อง

    ๙. กระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อย ให้กินน้ำกระเจี๊ยบไม่หวานจัดวันละ ๓ มื้อ
    หรือน้ำแครนเบอรี่ของฝรั่งในปริมาณเท่ากัน ( เปรี้ยวจัดมาก)

    ๑๐.ท้องอืด แก๊สมาก ให้กินกล้วยหักมุกปิ้งหรือขิงบ่อย ๆ

    ๑๑.ท้องผูก ชงน้ำผึ้งดื่มวันละ ๓ ช้อนโต๊ะและให้กินน้ำมะขามต้มติดเนื้อมาก เช้า เย็น

    ๑๒.โรคกระเพาะอาหาร หากล้วยหักมุกปิ้งกิน, กินกล้วยหรือกินผักกระ หล่ำปลีให้มาก

    ๑๓.เวียนหัว คลื่นไส้ง่าย ให้หาอาหารทำจากขิงรับประทาน เช่น ปลาผัดขิง
    ไก่ผัดขิง, น้ำขิง, ชาขิงหรือเต้าฮวย

    ๑๔.วัยทอง วูบวาบ อารมณ์ปรวน ให้กินปลาทูน่าให้มาก
    และกินเต้าหู้เหลืองวันละ ๑ แผ่น ถ้ากินเต้าหู้แล้วเบื่อให้สลับกับถั่วลิสงวันละ ๑ กำมือก็ได้

    ๑๕.หงุดหงิดง่าย ให้กินอาหารร่าเริง ค! ือ ข้าวเ หนียวดำ ข้าวโพด กลอย กล้วยหอมและปลาทูน่า

    ๑๖.กระดูกพรุน ให้กินงาดำวันละ ๔ ช้อนโต๊ะ (ได้แคลเซียมเท่ากับเม็ดใหญ่)
    มะม่วงจิ้มกะปิและสับปะรดซึ่งมีธาตุสมานกระดูดอยู่มาก ( แมงกานีส)

    ๑๗.ความจำไม่ดี ให้กินปลาทูวันละ ๒ ขีด หอยแครง
    และหอยนางรมซึ่งมีธาตุสังกะสีช่วยสมองได้

    ๑๘.มะเร็งเต้านม ให้กินบร็อคโคลีหรือคะน้าวันละ ๕ ขีด

    ๑๙.มะเร็งปอดทางเดินหายใจ ให้กินเสาวรส ฝรั่ง ส้ม มะนาว มะขามป้อม
    มะละกอ มะม่วง ให้มาก เพราะวิตามินซีช่วยสมานหลอดเลือดในปอดได้ดี
    แต่ต้องระวังวิตามินเอโดยเฉพาะผู่ที่ยังสูบบุหรี่อยู่

    ๒๐.ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน กินแอปเปิ้ลเขียววันละ ๑-๒ ผล
    หรือน้ำแอปเปิ้ลเขียวปั่นทั้งกาก จะเป็นการล้างพิษในตัวด้วย

    ๒๑.เจ็บอก โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบ กินปลาทะเล น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิน
    ผลอโวคาโดเพราะเหล่านี้มีไขมันดีไปช่วยขับตะกรันน้ำมันเก่าออก
    ถ้าชอบดื่มชาให้หาชาเขียวสดมาชงดื่มเองวันละถ้วย

    ๒๒.ความดันสูง ต้องตัดบุหรี่และอาหารเค็ม
    ลองหาข้าวโอ๊ตไม่ขัดสีมากินและผักขึ้นฉ่ายสดหรือปั่นก็ได้ จะช่วยคุมความดันให้ดีขึ้น

    ๒๓.เบาหวนถามหา ให้เลี่ยงแป้งกับน้ำตาลและกินผักเขียวจัดอย่างคะน้า
    บร็อคโคลี ผักโขมให้มาก ถ้าอยากหวานให้กินส้มโอและฝรั่งเพราะมีน้ำตาลอยู่น้อยมาก


    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Tue Jun 21, 2011 10:43 am

    เรื่องก็มีอยู่ว่า สองตายายคู่ นี้ คือ พ่อกับแม่ของผมเอง

    พ่อมีอาการปวดข้อ ปวดกระดูก มานานกว่า 10 ปี และมีอาการของโรคเกาต์
    และกระดูกพรุนด้วย และท่านต้องนั่งที่เก้าอี้นานๆ
    วันละ เกือบ ๆ 8 ชั่วโมง ทำให้มีอาการปวดหลัง

    ส่วนแม่ มีอาการปวดหลัง เอว แขนและขา มานานมากแล้ว
    อาจจะเกิดจากความชรา ท่านได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐมานาน
    ทานยาตามที่หมอสั่งแล้วก็ทุเลาลง แต่ก็ไม่หายขาด

    มีอยู่วันหนึ่ง แม่ได้เล่าให้ฟังว่า พ่อมีอาการปวดขามาก
    มากจนนอนไม่หลับมา 3 คืนแล้ว ผมจึงไปถามพ่อว่าอาการเป็นอย่างไร
    ท่านตอบว่า ปวดที่ข้อเท้าและฝ่าเท้า เหมือนมีเข็มมาทิ่มแทง ทรมารมาก
    ผมก็หายามานวดให้ก็ทุเลาลงแต่ก็ยังไม่หายปวด กลับทำให้ขาบวมขึ้นมามากกว่าเดิม
    ผมจึงหาข้อมูลเกี่ยวกับอาการที่พ่อเป็น ผ่านทาง
    เว็ปไซด์ Google จึงรู้ว่าพ่อเป็นโรคเกาต์ขั้นรุนแรงแล้ว
    วันหนึ่งได้เข้าเว็ป ไทยรัฐ ออนไลด์ จึงได้พบ
    วิธีการรักษาโรคเกาต์แบบโบราณโดยใช้สมุนไพร คือมะเฟืองเปรี้ยว
    ผสมกับน้ำผึ้ง ผมก็ลองหามะเฟืองมาลองทำตามสูตร
    ผลปรากฎว่าพ่อของผมหายจากอาการปวดขาปวดตามข้อ
    ปวดฝ่าเท้า ตามสรรพคุณที่เขาบรรยายไว้จริงๆ แม่ของผมจึงลองทานดูบ้าง
    ผลปรากฎว่า อาการปวดหลังของแม่หายขาดเลย

    ผมจึงขออนุโมทนาบุญกุศลของท่านที่ได้พิมพ์ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีรักษาโรคนี้
    ขอให้ท่านจงมีความสุข ความเจริญ สุขภาพแข็งแรง บริบูรณ์เงินทอง ตลอดไปครับ

    ด้วยความเคารพอย่างสูง
    ศุภฤกษ์ พึ่งสุข

    "มะเฟืองเปรี้ยวสุก" แก้โรคเกาต์


    โรคเกาต์ เป็นโรคที่รักษาให้หายขาดยากเหมือน
    กับโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต ซึ่งคนที่เป็นโรคเกาต์ทราบกันดีทุกคนว่า
    เมื่อเป็นแล้วจะทรมานมาก เวลากินอาหารแสลงเข้าไป
    ข้อเท้าจะบวมฉึ่งเจ็บปวดมากจนเดินไม่ได้ ในทางสมุนไพรมีสูตรรักษาหลายสูตร เ
    คยแนะนำไปบ้างแล้วสามารถบรรเทาได้ระดับหนึ่ง

    สำหรับ "มะเฟืองเปรี้ยวสุก" เป็นอีกสูตรหนึ่ง ที่นิยมใช้กันมาแต่โบราณ
    เป็นสูตรเฉพาะกลุ่ม ได้รับการบอกเล่าจากผู้ใจดีว่าสามารถทำให้โรคเกาต์หายขาดได้
    จึงรีบแนะนำผู้อ่านไทยรัฐอีกตามระเบียบ โดยมีวิธีทำง่ายๆ

    คือ ให้เอาผล "มะเฟืองเปรี้ยวสุก" จำนวน 1 ผล เกลือป่นเล็กน้อย
    น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำต้มสุก กะให้ได้ 2 แก้วต่อวัน ปั่นให้เข้ากันจนละเอียด
    กินครั้งละเกือบเต็มแก้วเช้าเย็นก่อนอาหาร ทำกินติดต่อกัน 6 วัน
    เจ้าของสูตรบอกว่าอาการของโรคเกาต์จะหายได้
    ใครที่เป็นโรคเกาต์ทดลองทำกินไม่อันตรายอะไร

    มะเฟือง หรือ AVERRHOA CARABOLA LINN. อยู่ในวงศ์ AVERRHOACEAE

    ประโยชน์ทางยา ยอดมะเฟืองกับยอดมะพร้าวต้มผสมกันกินแก้ไข้หวัดใหญ่

    ใบต้มอาบแก้ตุ่มคัน แก่นและรากต้มกินแก้ท้องร่วง แก้เจ็บเส้นเอ็น

    ผลสระผมบำรุงเส้นผม ขจัดรังแคได้ ปัจจุบันผลมะเฟืองเปรี้ยวหาซื้อยากมาก

    ส่วนใหญ่จะมีแต่ผลมะเฟืองหวานขาย



    ที่มา เข้า google แล้ว พิมพ์คำว่า มะเฟือง โรคเกาต์ครับ

    ข้อมูลจาก forward email
    __________________
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Tue Jun 21, 2011 11:00 am

    เว็บเกี่ยวกับสมุนไพร

    http://www.samunpri.com/textbook/
    ลุงหมอ
    ลุงหมอ
    ผู้ก่อตั้ง
    ผู้ก่อตั้ง


    จำนวนข้อความ : 6844
    Join date : 20/11/2010

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  ลุงหมอ Tue Jun 21, 2011 6:41 pm

    thanita พิมพ์ว่า:เว็บเกี่ยวกับสมุนไพร

    http://www.samunpri.com/textbook/

    Very Happy Smile Laughing ดีจังเลยจ้า ได้ผู้ช่วยมาละ ตัวยาสมุนไพรหลายๆชนิด น่าหมักทั้งนั้น จะได้เต็มใจหมักนิ หัวเชื้อมาเร่ง ทันใช้แน่นอน santa
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Tue Jun 21, 2011 7:12 pm

    ลุงหมอ พิมพ์ว่า:
    thanita พิมพ์ว่า:เว็บเกี่ยวกับสมุนไพร

    http://www.samunpri.com/textbook/

    Very Happy Smile Laughing ดีจังเลยจ้า ได้ผู้ช่วยมาละ ตัวยาสมุนไพรหลายๆชนิด น่าหมักทั้งนั้น
    จะได้เต็มใจหมักนิ หัวเชื้อมาเร่ง ทันใช้แน่นอน santa


    "ดีจังเลย เหมือนกันค่ะ
    ที่มีที่เก็บ ความรู้ (เว็บลุงหมอนี่เอง) Laughing Laughing
    เวลาหา จะได้ง่าย ๆ "


    "เพี้ยง!!! เจ้าไวรัส
    ขอร้องนะ นะ นะคะ
    อย่ามาเยือนเว็บนี้อีกเด้อค่ะ"
    อู๊ดดี้
    อู๊ดดี้
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 775
    Join date : 08/05/2011
    ที่อยู่ : เมืองขอนแก่น ดินแดนดอกคูณ

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  อู๊ดดี้ Wed Jun 22, 2011 1:45 pm

    Very Happy สาธุด้วยจ้า ขอให้ไวรัสหลีกไปให้ไกล โพ้นทะเลเล้ย cheers cheers
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Wed Jun 22, 2011 5:20 pm

    อู๊ดดี้ พิมพ์ว่า: Very Happy สาธุด้วยจ้า ขอให้ไวรัสหลีกไปให้ไกล โพ้นทะเลเล้ย cheers cheers
    Laughing Laughing Laughing



    สรรพคุณของไมยราบ

    ไมยราบ ลดน้ำตาลในเลือด

    ไมยราบ หรือหญ้าปันยอด ที่มักมองกันว่าเป็นวัชพืชไร้ค่า
    แต่รู้ไหมว่าเป็นพืชที่มีสรรพคุณแก้ปวดหลังได้ชะงัดนัก
    ทั้งยังเป็นสมุนไพรที่ทำให้กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรป่าโมกพัฒนา จ.อ่างทอง
    สร้างเนื้อสร้างตัวมาได้จนถึงทุกวันนี้
    และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางข้ามไปถึงต่างประเทศ
    ภายใต้ชื่อผลิตภัณฑ์ ชาสมุนไพรไทยแท้ ประกอบด้วยสมุนไพร 5 ชนิด
    โดยมีไมยราบเป็นองค์ประกอบหลัก

    ไมยราบ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mimosa pudica L.
    จัดเป็นพืชวงศ์ (ตระกูล) ถั่ว Fabaceae (Legu minosae)-Mi ประเภทไม้ล้มลุก
    มีลักษณะเป็นไม้เลื้อย ทอดไปตามพื้นดิน เถามีหนามแหลมและมีขนสีน้ำตาลคลุมอยู่ทั่ว

    ใบ เป็นใบประกอบรูปขนนกสองชั้น

    มีความไวต่อการสัมผัส ยาว 10-15 ซม. เรียงตัวแบบนิ้วมือ
    ใบย่อยมี 17-22 คู่ ใบรูปไข่แกมขอบขนาน กว้าง 2.5-3 มม.
    ยาว 10-14 มม. ผิวใบด้านบนมีสีเขียว ท้องใบมีสีม่วงอ่อน

    ดอก ออกเป็นดอกช่อ แบบช่อกระจุกแน่น (head)
    ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีชมพู ผลเป็นฝักข้อสั้นๆ อยู่รวมกันเป็นช่อ ผลแก่สีดำ

    ประโยชน์ แม้จะเป็นพืชที่มีการแพร่กระจายพันธุ์อย่างรวดเร็ว
    และกำจัดค่อนข้างยาก ซึ่งก่อให้เกิดปัญหา แต่ก็ยังมีประโยชน์ทางสมุนไพร
    สามารถนำทุกส่วนมาหั่นแล้วคั่ว โดยใช้ไฟอ่อนๆ จนมีกลิ่นหอม
    แล้วนำไปชงน้ำดื่มแทนชา ช่วยลดคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือดได้

    ที่มา : น.ส.พ.คม-ชัด-ลึก วันที่ : 6 มิ.ย. 48



    ราก แก้ไอ ขับเสมหะ แก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง
    แก้ระบบการย่อยอาหารของเด็กไม่ดี บำรุงกระเพาะอาหาร
    ทำให้ตาสว่าง ระงับประสาท แก้บิด ขับปัสสาวะ
    รักษาโรคปวดเวลามีประจำเดือน ถ้าไข้ขนาดสูงมากๆจะเกิดอาการคลื่นไส้
    อาเจียน แก้ริดสีดวงทวาร
    รสขมเล็กน้อย ฝาด ปวดข้อ กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง

    ต้น ขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ขับระดูขาว ขับโลหิต

    ใบ แก้เริม งูสวัด โรคพุพอง ไฟลามป่า

    ทั้งต้น ขับปัสสาวะแก้ไตพิการ แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ขับระดูขาว
    แก้ไข้ออกหัด แก้นอนไม่หลับ แก้กระเพาะอาหารอักเสบ สงบประสาท
    แก้ลำไส้อักเสบ แก้เด็กเป็นตานขโมย แก้ผื่นคัน แก้ตาบวมเจ็บ แก้แผลฝี
    ที่มา: http://student.swu.ac.th

    ไมยราบ กระทืบยอด กะเสดโคก หญ้าปันยอด หญ้างับ
    ชื่อวิทยาศาสตร์ Mimosa pudica L.
    ชื่ออื่น กระทืบยอด กะเสดโคก หญ้าปันยอด หญ้างับ
    ชื่อสามัญ sensitive plant, sleeping grass, shameplant
    วงศ์ Mimosaceae
    ชีววิทยา
    ไมยราบ เป็นวัชพืชประเภทใบกว้าง อายุหลายปี แผ่กิ่งก้านไปตามพื้น
    ลำต้นและก้านใบสีแดง มีหนามสั้น ๆ ทั่วไป และมีหนามใหญ่ตามข้อ
    ใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 2 คู่ ขนาดเล็กมาก ไวต่อการสัมผัส
    และ หุบลงหากถูกสัมผัสหรือสั่นสะเทือน ช่อดอกกลมฟู สีม่วง
    ผลเป็นฝักแบนโค้งเล็กน้อย ปลายมีหนามแหลม เมล็ดกลมแบน
    มักพบตามสนามหญ้าและที่รกร้างทั่วไป
    การแพร่กระจาย พบขึ้นทั่วไป ในสภาพดินชื้น
    แพร่กระจายในแหล่งปลูกพืชยืนต้นและที่รกร้างว่างเปล่า

    การป้องกันกำจัด
    1.ใช้แรงงานถอนหรือตายออกเมื่อยังเป็นต้นอ่อน
    2.ใช้สารกำจัดวัชพืช พ่นพาราควอต หรือกลูโฟสิเนต
    แอมโมเนียม อัตรา 80 และ 160 กรัม สารออกฤทธิ์ ต่อไร่ตามลำดับ
    ในระยะวัชพืชกำลังเจริญเติบโตหรือ ก่อนออกดอกผลิตเมล็ด

    สรรพคุณ
    - ทั้งต้น รสชุ่ม เย็นจัด แก้ไข้ นอนไม่หลับ สงบประสาท
    เด็กเป็นตาลขโมย ตาบวมเจ็บ แผลฝี ผื่นคันและออกหัด
    - ราก รสขมเล็กน้อย ฝาด สุขุม แก้ไอ ขับเสมหะ
    แก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปวดข้อ กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง
    บำรุงกระเพาะอาหาร ระงับประสาท

    ที่มา:http://guru.sanook.com/



    "มีประโยชน์ขนาดนี้ ต้องไปเก็บมาหมักแย๊วววว
    หลังจากมองเมินมันมาเสียนานนนนนนนน"


    ลุงหมอ
    ลุงหมอ
    ผู้ก่อตั้ง
    ผู้ก่อตั้ง


    จำนวนข้อความ : 6844
    Join date : 20/11/2010

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  ลุงหมอ Wed Jun 22, 2011 8:05 pm

    thanita พิมพ์ว่า:เว็บเกี่ยวกับสมุนไพร

    http://www.samunpri.com/textbook/

    Very Happy Laughing Smile ถูกต้องละครับบบบ ? บทตัวยาข้างบนนี้ ตัวยาสมุนไพร ล้วนๆนำไปเผบแพร่ หมักเสริมได้เลยจ้า เน้นของพื้นบ้านไว้นะได้ไม่แพงงบ ดีเลย ใครสงสัยอะไร เอามาทานเสริมน้ำหยดได้ หรือ หมักจะเพิ่มคุณภาพเป็น 10 เท่าจ้า Smile santa
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Thu Jun 23, 2011 5:24 pm



    สธ.เล็งวิจัย “ย่านางแดง ย่านาง มะขามป้อม” ใช้ถอนพิษ


    รมช.สธ.เร่งผลักดันวิจัย สมุนไพรถอนพิษอีก 3 ตัว
    คือ ย่านางแดง ย่านาง มะขามป้อม เพื่อใช้หลังได้รับสารพิษ
    อันตรายให้สำเร็จภายใน 4 ปี พร้อมทั้งทำแผนสำรวจรางจืดที่ปลูกใน 4 ภาค
    และศึกษาประสิทธิภาพทางยา ร่วมกับกระทรวงเกษตรฯ
    หวังให้เป็นพืชล้างพิษคู่ครัวเรือนไทย

    แนะนำสมุนไพรรางจืด ซึ่งเป็นสมุนไพรพื้นบ้าน
    มีชื่อเรียกหลายชื่อเช่น รางเย็น ดุเหว่า แอดแอ รางเย็น
    มาใช้ดื่มเพื่อขับสารพิษออกในรายที่มีสารพิษตกค้างในร่างกาย


    ดร.พรรณสิริ กล่าวว่า นอกจากรางจืดแล้ว ขณะนี้
    ได้ให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย
    และการแพทย์ทางเลือก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
    ศึกษาสมุนไพรอื่นที่จะนำมาใช้ล้างพิษในร่างกาย ที่เล็งไว้มี 3 ตัว
    ซึ่งมีการนำมาใช้ในการแพทย์พื้นบ้านในอดีต ได้แก่

    1.ย่านางแดง หรือเครือขยัน ใช้ถอนพิษ แก้พิษไข้ต่างๆ

    2.ย่านางหรือจ้อยนาง ขันยอ ใช้ถอนพิษผิดสำแดง
    แก้พิษเบื่อเมาในอาหาร เช่น เห็ด กลอย และ

    3.มะขามป้อม ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก
    ยับยั้งการเจริญเติบโตแบคทีเรีย ผลการทดลองในหนู พบว่า
    มีฤทธิ์ลดไขมันในเลือดของสัตว์และคนได้ สามารถต้านมะเร็ง
    ไวรัส ลดการอักเสบ เพิ่มภูมิต้านทานในร่างกายได้
    ซึ่งผลงานศึกษาวิจัยรองรับยังมีน้อย
    จะเร่งให้ดำเนินการสำเร็จภายใน 4 ปี หากสำเร็จจะทำให้
    คนไทยมีสมุนไพรถอนพิษที่อยู่ใกล้ตัว ใกล้บ้าน สามารถนำมาใช้ได้

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Large_ya-nang
    ใบย่านาง
    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Makampom
    มะขามป้อม

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Ya-nang-red
    ย่านางแดง หรือ เครือขยัน





    คัดลอกมาบางส่วน
    ที่มาข้อมูล : ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 ก.พ.2554


    http://www.thaihof.org/frontnews/สธเล็งวิจัย-“ย่านางแดง-ย่านาง-มะขามป้อม”-ใช้ถอนพิษ



    ย่านางแดง ไปซื้อต้นมาปลูกแย๊ววว แบบว่ามันหายากน่ะ กะลังจะโตเล้ยยย

    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jun 27, 2011 2:00 pm


    หมาน้อย พืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยารักษาโรคได้

    โดย...ว่าที่ร.ต.ดร.สมโชค เฉตระการ ข้าราชการบำนาญ (สังกัดวิทยาลัยเทคนิคร้อยเอ็ด)

    อาจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ - ร้อยเอ็ด

    หมาน้อย ที่มีขาเป็นเครือพันกับเสาหลัก
    สามารถผลิตวุ้นธรรมชาติ ยาเย็น อาหารเพื่อสุขภาพของพี่น้องชาวอีสานไทย-ลาว
    ตอนที่เป็นเด็ก ๆ เดินเข้าไปในชายทุ่งนาและในป่าจะเห็น ไม้เถาเลื้อย เป็นเครือ
    พันกับหลักหรือพันกับต้นไม้ ใบมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ โคนใบเป็นแบบก้นปิด
    หน้าใบและหลังใบมีขนปกคลุมหนา เวลาเอามือลูบที่ใบจะเป็นขนมัน นุ่ม ๆ
    เหมือนขนหมาน้อย ชาวบ้านจะเรียกว่า ต้น เครือหมาน้อย

    ใช้ปรุงผสมกับน้ำ ใบย่านาง ซึ่งพืชทั้งสองชนิด
    เป็นพืชสมุนไพรที่สามารถนำมาปรุงรสกับปลาป่น ป่นกบ น้ำที่ปรุงจะข้นจนเกิดเป็นวุ้น...
    ส่วนวิธี การปรุงอาหาร ประเภทนี้คือ

    เลือกใบ เครือหมาน้อย ที่มีสีเขียวเข้มโตเต็มที่ ๑๐-๓๐ ใบ
    ล้างใบแล้วนำมาขยี้กับน้ำสะอาด ๑ ถ้วย ในขณะที่ขยี้ใบ
    จะมีความรู้สึกว่าน้ำที่ขยี้ออกมามีลักษณะเมือกลื่นๆ
    หลังจากนั้นกรองเอากากใบเครือหมาน้อยออก
    นอกจากนั้นคั้นน้ำจากใบย่านาง ผสมลงไปด้วยเพื่อทำให้วุ้นแข็งตัวอย่างรวดเร็ว
    เทน้ำวุ้นดังกล่าว ลงไปในถ้วนป่นกบหรือปลาป่นที่ปรุงรสชาดแล้ว
    หั่นหัวหอม น้ำปลา ข้าวคั่ว ใบหอม และผักชี ถ้าอยากแซบมากกว่านี้
    ผสมน้ำปลาร้าสักหน่อย

    แต่ถ้าปรารถนาจะทานเป็นของหวาน คั้นน้ำใบเตยใส่เพิ่มลงไปสักนิดเพื่อกลิ่นหอม
    ใส่เกลือเล็กน้อย เพื่อช่วยให้วุ้นแข็งตัวเร็วขึ้น
    เทใส่ถ้วยทิ้งไว้พอประมาณ น้ำคั้นจะจับตัวเป็นวุ้น
    ซึ่งเรามักจะเรียกกันว่า วุ้นหมาน้อย เติมน้ำตาลลงไปสักหน่อยทำให้มีรสหวาน
    ใช้ทานเป็นอาหารว่าง รสชาดอร่อยมาก จากการศึกษา

    เกี่ยวกับสรรพคุณทางยา วุ้นหมาน้อยมีประโยชน์ทางยาหลายประการคือ
    เป็นยาเย็น ช่วยย่อย แก้ท้องเสีย แก้บิด แก้ปวดหลัง ปวดเอว แก้เจ็บคอ

    ต้นเครือหมาน้อย พืชสมุนไพรที่ชาวอีสานมีความเชื่อว่า
    เป็น ยาเย็น มีสรรพคุณรักษาโรคบางอย่างได้เป็นอย่างดี

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 357041

    ต้นเครือหมาน้อย พืชสมุนไพรที่ชาวอีสานนำไปสกัดเอาน้ำ ผสมกับป่นกบหรือปลาป่น

    แซบหลาย ๆ เด้อ

    ที่มา http://www.oknation.net/blog/somchoke101/2010/01/27/entry-1





    "ที่บ้านซื้อมาปลูกไว้หลายตัวแย๊ววววววว"
    ธอ-นิ-ตา




    เครือหมาน้อย...ยาเย็น แก้ปวดหลังปวดเอว แก้ไข้
    แก้เจ็บคอหมอยาพื้นบ้านทุกภาคนิยม
    ใช้รากเครือหมาน้อยเป็นยาแก้ปวดเมื่อยตามตัว
    แก้ปวดหลังปวดเอว แก้ไข้ แก้เจ็บคอ ไข้ออกตุ่ม
    โดยจะฝนกินหรือต้มกินก็ได้ จะใช้เดี่ยวๆ หรือใช้ร่วมกับสมุนไพรตัวอื่น
    หรือใส่ในยาชุม (ยาตำรับที่มีสมุนไพรหลายชนิดผสมกัน)
    ที่รักษาโรคและอาการเหล่านั้นได้
    เช่นเดียวกับหมอยาพื้นบ้านชาวบราซิลที่ใช้เครือหมาน้อยในการแก้ไข้ แก้ปวด
    และหมอยาพื้นบ้านชาวอินเดียแดงก็ใช้การต้มใบและเถาของเครือหมาน้อยกินเพื่อแก้ปวด
    การศึกษาสมัยใหม่พบว่าเครือหมาน้อยมีฤทธิ์แก้ปวด
    แก้อักเสบได้ดี ซึ่งสนับสนุนการใช้ของหมอยาพื้นบ้านเหล่านั้น

    ส่วนพ่อหมอประกาศ ใจทัศน์ ที่บ้านน้อมเกล้า อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร
    ใช้รากเครือหมาน้อยฝนกับน้ำมะพร้าวให้กินแทนน้ำไปเรื่อยๆ
    เพื่อรักษาประดงไฟ ซึ่งมีลักษณะอาการออกร้อนตามตัว
    ซึ่งภาษาทางการแพทย์เรียกว่า burning sensation


    เครือหมาน้อย...ยาของผู้หญิงยาปรับประจำเดือน แก้ปวดประจำเดือน แก้ไข้ทับระดู
    หมอยาไทยพวนใช้หัวของเครือหมาน้อยฝนกินกับน้ำ
    แก้ปวดประจำเดือน แก้ไข้ทับระดู ปรับสมดุลของประจำเดือนให้เป็นปกติ
    ทั้งอาการที่มีประจำเดือนมากหรือน้อย ซึ่งคล้ายกับการใช้ของหมอยาพื้นบ้าน
    ประเทศในแถบอเมริกาใต้และอเมริกาเหนือ โดยหมอยาเหล่านั้น
    ใช้เถา ราก ใบ เปลือก ของเครือหมาน้อยระงับอาการปวดทั้งก่อนคลอด
    และหลังคลอดทั้งใช้รักษาอาการตกเลือดหลังคลอด
    โดยให้ฉายาเครือหมาน้อยว่า สมุนไพรของหมอตำแย (Midwives's herb)
    ทั้งยังใช้ในการแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับระบบประจำเดือนของผู้หญิง
    เช่น อาการปวดประจำเดือน มีประจำเดือนออกมามากเกินไป
    อาการไม่สบายก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual syndrome, PMS)
    รวมทั้งรักษาสิวที่เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน โดยมีความเชื่อร่วมกันว่า
    เครือหมาน้อยเป็นยาปรับสมดุลฮอร์โมนของผู้หญิง
    การใช้เครือหมาน้อยในสรรพคุณนี้มีการใช้อย่างต่อเนื่องกันมาเป็นพันๆ ปี จนถึงปัจจุบัน

    การใช้เครือหมาน้อยเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิงนั้น
    หมอยาไทยใหญ่ก็มีการใช้เหมือนกัน
    โดยหมอยาไทยใหญ่บางท่านเรียกเครือหมาน้อยว่า "ยาไม่มีลูก"
    โดยใช้รากของเครือหมาน้อยต้มกินไปเรื่อยๆ
    แทนยาคุมกำเนิด (แต่ไม่แนะนำให้ใช้เพราะมียาคุมกำเนิดที่ดีอยู่แล้ว)


    เครือหมาน้อย...ช่วยย่อย แก้ท้องเสีย แก้บิด แก้ปวดเกร็งในท้อง
    หมอยาไทยเลยใช้เครือหมาน้อยเป็นยารักษาระบบทางเดินอาหารในหลายๆ อาการ
    เช่น ใช้เป็นยาช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ จุกท้อง
    แก้กินผิด (อาการวิงเวียนศีรษะ มืนหัวหลังกินอาหารบางชนิด)
    แก้ท้องบิด แก้ท้องเสีย แก้เจ็บท้อง (อาการปวดเกร็งที่ท้อง)
    แก้ถ่ายเป็นเลือด โดยใช้รากต้มกิน หมอยาพื้นบ้าน
    ในอเมริกาใต้ก็ใช้เครือหมาน้อยในสรรพคุณเดียวกัน คือใช้ต้านอาการปวดเกร็งทั่วไป
    และใช้รักษาโรคลำไส้แปรปรวน (Irritable bowel syndrome, IBS)
    โรคลำไส้อักเสบ เป็นต้น การศึกษาสมัยใหม่พบว่า
    เครือหมาน้อยมีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อและต้านเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด
    รวมทั้งเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดท้องเสีย

    เครือหมาน้อย...ยาเย็น พอกสิว พอกหน้า บำรุงผิวพรรณ
    ข้อมูลจากการสัมมนาหมอยาพื้นบ้านเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว
    หมอยาในจังหวัดปราจีนบุรีแนะนำให้ขยี้ใบเครือหมาน้อยให้เป็นวุ้นพอกรักษาฝี
    อาการปวดบวมตามข้อ หรืออาการอักเสบของผิวหนัง ผดผื่น คัน
    รวมทั้งจากแมลงสัตว์กัดต่อย
    นอกจากนั้นยังใช้พอกหน้าสำหรับผู้หญิงที่เป็นสิวผิวพรรณไม่ดีอีกด้วย

    เครือหมาน้อย...ยาลดความดัน
    เครือหมาน้อยยังใช้เป็นยาลดความดันในกลุ่มหมอยาไทยใหญ่
    โดยใช้ทั้งต้นต้มน้ำกิน หมอยาพื้นบ้านบราซิลก็ใช้เครือหมาน้อยในสรรพคุณนี้เช่นกัน
    โดยใช้ราก ต้น เปลือก ใบ ของเครือหมาน้อยต้มกิน
    เพื่อใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง นิ่ว ทางเดินปัสสาวะอักเสบ


    ที่มา : http://thrai.sci.ku.ac.th/node/879
    ลุงหมอ
    ลุงหมอ
    ผู้ก่อตั้ง
    ผู้ก่อตั้ง


    จำนวนข้อความ : 6844
    Join date : 20/11/2010

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  ลุงหมอ Mon Jun 27, 2011 3:16 pm

    Very Happy Smile Laughing 55555+ ข้าทีเน๊อะ มีความรู้ มาแบ่งปัน? ใจจ้า albino cherry santa
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jul 04, 2011 2:27 pm

    รายงานวิจัยจากวารสาร Cancer Research เผย
    สารสกัดจากผลมะระขี้นกมีสรรพคุณป้องกันมะเร็งเต้านม
    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 190303


    ผลการสำรวจพบว่า ผลของพืชที่มีลักษณะตะปุ่มตะป่ำนี้
    ช่วยยับยั้งสารเคมีที่เกิดขึ้นในกระบวนการเกิดมะเร็งเต้านม

    เรียกได้ว่ามีสรรพคุณในการปิดสัญญาณการสื่อสารกัน
    ของเซลล์มะเร็งเต้านม ทำให้เซลล์มะเร็งหยุดการเจริญเติบโต
    นอกจากนั้นยังช่วยเปิดสัญญาณที่ทำให้เซลล์มะเร็งทำลายตนเอง

    ดร. Rajesh Agarwal ผู้ร่วมวิจัย จากมหาวิทยาลัย Colorado อเมริกา
    กล่าวว่า แม้จะพบว่ามะระขี้นกมีฤทธิ์ต้านมะเร็งแล้ว
    อย่างไรก็ตามยังคงต้องมีการทดสอบต่อไปในสัตว์ทดลองและคน
    เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีผลการพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าการทานมะระขี้นกมาก ๆ
    จะช่วยป้องกันมะเร็งได้จริง

    มะระขี้นกมีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น bitter melon, bitter gourd
    หรือ wild cucumber มีการเพาะปลูกในประเทศแถบเอเชีย
    แอฟริกา และอเมริกาใต้ บ้านเราใช้รับประทานจิ้มน้ำพริก
    หรือผัดแกงร่วมกับผักอื่น...

    มีการใช้สารสกัดจากมะระขี้นกเป็นยารักษาโรคมาเป็นเวลานานแล้ว
    เช่นใช้รักษาเบาหวานและโรคติดเชื้อชนิดต่าง ๆ
    โดยงานวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่า พืชชนิดนี้มีสรรพคุณป้องกันมะเร็ง

    ทีมนักวิจัยคาดว่า อาจใช้สารสกัดมาทำเป็นอาหารเสริม
    สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมเพื่อยับยั้งการกลับมาเป็นใหม่

    Agarwal กล่าวว่า มะเร็งเต้านมเป็นโรคที่คร่าชีวิตผู้หญิงทั่วโลกจำนวนมาก
    ผลการทดลองจึงมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยอย่างยิ่ง
    ในอนาคตอาจสามารถนำสารสกัดมารักษาได้หากมีการศึกษาเพิ่มเติม

    Jessica Harris จากสถาบันวิจัยมะเร็งอังกฤษ กล่าวว่า
    สารเคมีจากพืชหลายชนิดสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งในห้องปฏิบัติการ
    ได้หากสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งให้เหลือน้อยมากมาก

    ก่อนจะรู้ผลจริงว่าสามารถรักษาได้มากน้อยเพียงใด
    หรือมีผลข้างเคียงหรือไม่คงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในคนอย่างละเอียด
    ส่วนใหญ่แล้วสารที่มีสรรพคุณกำจัดมะเร็งมีที่มาจากพืชเป็นส่วนใหญ่
    แต่ต้องใช้เวลานานกว่าจะทราบผลการทดสอบ
    อย่างไรก็ตามวิธีที่ดีที่สุดในขณะนี้คงหนีไม่พ้น
    การหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนัก
    วิธีเหล่านี้จะช่วยป้องกันให้ห่างไกลจากมะเร็งเต้านมได้..



    ที่มา: http://news.bbc.co.uk/2/hi/health/8530730.stm

    อ้างอิง: http://www.samunpri.com/modules.php?name=News&file=article&sid=20




    "วันนี้ หมัก มะระขี้นก สิบโลครึ่งค่ะ
    พี่เค้าจ้างคนถอนทิ้ง ไปทันวันสุดท้ายพอดี
    เลยบอกให้เค้าเก็บให้ค่ะ " Very Happy Very Happy Very Happy
    ลุงหมอ
    ลุงหมอ
    ผู้ก่อตั้ง
    ผู้ก่อตั้ง


    จำนวนข้อความ : 6844
    Join date : 20/11/2010

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  ลุงหมอ Mon Jul 04, 2011 3:13 pm

    Very Happy Laughing Smile Rolling Eyes ถูกต้องละครับ ยอดแก้โรคเอดส์ได้ และ ให้ต้มกินกับ บอระเพ็ต จะรักษา ใข้หวัดนกได้จ้า santa
    thanita
    thanita
    สมาชิกทั่วไป
    สมาชิกทั่วไป


    จำนวนข้อความ : 408
    Join date : 14/06/2011
    ที่อยู่ : ปากช่อง นครโคราช

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  thanita Mon Jul 11, 2011 1:39 pm

    หนอนตายหยาก แก้ภูมิแพ้ แก้ฟันผุ

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Nontaiyak

    วงศ์: Stemonaceae
    ชื่อท้องถิ่น: หนอนตายหยาก
    ชื่อวิทยาศาสตร์: Stemona tuberose Lour.
    ชื่อสามัญ: -
    ชื่ออื่น: กะเพียด (เต็ม, 2544)

    ลักษณะทั่วไป: ไม้เลื้อยล้มลุก ลำต้นไม่มีขน รากอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม หนาแน่น
    จำนวนมากเป็นหัวแบบมันฝรั่ง (tuber) ใบเดี่ยว เรียงตัวแบบตรงข้าม
    ส่วนปลายยอดเรียงตัวแบบสลับ รูปไข่ โคนใบเว้ารูปหัวใจ ปลายใบเรียวแหลม
    มีเส้นใบ 9-13 เส้น เรียงตามยาวขนานกับขอบใบ ก้านใบยาว ดอกออกเป็นช่อ
    กลีบด้านนอกมีสีเขียวหรือสีเขียวเหลือง มีลายเส้นยาวสีเขียวเข้มหรือสีม่วง
    มีสีเขียวยาวตลอดถึงปลาย กลีบดอกด้านใน มีสีม่วงหรือสีแดงน้ำตาล
    และมีลายสีแดง เกสรเพศผู้มีสีม่วง อับเรณุมีระยางค์
    ผลเป็นผลแบบฝัก ขนาดเล็กปลายแหลมสีน้ำตาล


    ความเป็นพิษ: ยังไม่มีรายงานความเป็นพิษในคน เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้ภายนอก
    ไม่รับประทานเป็นอาหาร ภูมิปัญญาไทย ใช้รากวางบนปากไหน้ำปลา
    เพื่อกำจัดไข่หนอน ที่ติดมากับแมลงวันไม่ให้ลงไปปนเปื้อน
    ในการหมักน้ำปลา จากข้อมูลและการทดสอบความเป็นพิษ
    ของรากหนอนตายหยาก สรุปได้ว่า สารสกัดจากรากของหนอนตายหยาก
    ทำให้สัตว์ทดลองตาย แต่มีรายงานการศึกษา ความเป็นพิษค่อนข้างน้อย

    **********


    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Nontaiyak3


    [b]หนอนตายหยาก แก้ภูมิแพ้ แก้ฟันผุ



    หนอนตายหยาก
    หนอนตายหยาก กับสูตรแก้ภูมิแพ้ โดยมีวิธีทำง่าย ๆ
    คือให้เอา ราก ของหนอนตายหยาก สดหรือแห้งก็ได้
    กับ ใบ ของต้นหนุมานประสานกาย สดหรือแห้ง ก็ได้เช่นกัน
    จำนวนเท่ากันคือ 10 กรัม ต้มน้ำดื่มขณะยังอุ่นต่างน้ำทุกวัน
    จนกว่าตัวยา จะจืดแล้วเปลี่ยนใหม่ จะช่วยแก้อาการของโรคภูมิแพ้
    ละลายเสมหะ ลดอาการไอได้ นอกจากนั้น รากของหนอนตายหยาก
    ยังสามารถนำไปทำเป็นยาฆ่าเหา เห็บ หมัด หนอน ได้
    ยิ่งโรครำมะนาดแมงกินฟัน จนทำให้เกิดอาการปวดบวม
    ใช้รากสด ๆ อุดเข้าไปบริเวณรูฟันที่ถูกแมงเจาะ จะตายและหายปวดบวมดีมา

    หนอนตายหยาก หรือ STEMONA TUBEROSALOUR
    อยู่ในวงศ์ STEMOANCEAE มีราก

    ส่วนหนุมานประสานกาย ที่ต้องใช้คู่กัน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
    SCHEFFERA LEUCANTHAVIG อยู่ในวงศ์ ARALIACEAE

    สู้ภูมิแพ้ด้วยสมุนไพรก้นครัว

    โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่ฮิตติดอันดัน ของคนในสังคมทุกวันนี้
    โดยเฉพาะคนในกรุงเทพฯ กล่าวกันว่าแปดในสิบคนที่เดินเข้าร้านขายยา
    มักจะต้องซื้อยาที่เกี่ยวข้องกับโรคภูมิแพ้ มีผู้คนมากมาย
    ที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคนี้ อย่างไม่รู้จบ ต้องอยู่ภายใต้การกินยา
    และหาหมอ อย่างยาวนาน เวียนเข้าเวียนออก
    ต้องทนทุกข์จากผลข้างเคียงของยาแก้แพ้ เช่น การง่วงนอน ปากคอแห้ง
    หรือการเต้นของหัวใจถูกรบกวน นอกจากนี้ อาการข้างเคียงของยา
    ที่ทำให้จมูกโล่ง ก็สร้างความทุกข์ระทมไม่แพ้กัน คือ การที่มีอาการใจสั่น
    กระวนกระวาย มีอาการทางจิตประสาท นอนไม่หลับ ทางออกของโรคภูมิแพ้
    ในมุมมองของการรักษาแผนปัจจุบัน ก็คือ การหลีกเลี่ยงสาร
    ที่แพ้กับการกินยา และหาหมอ

    ก่อนอื่นเราคงมารู้จักเจ้าภูมิแพ้กันสักหน่อย ภูมิแพ้เกิดจากความ
    ไม่สมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ระบบภูมิกันเป็นกลไกที่ซับซ้อนพอสมควร
    ถ้าจะลองอธิบายแบบง่าย ๆ ก็คือ ถ้ามีสิ่งแปลกปลอม เช่น
    เชื้อโรคพวกแบคทีเรีย รา ไวรัส หรือเนื้อเยื่อ ที่ชอกช้ำจากการบาดเจ็บ ระบบภูมิคุ้มกัน
    จะกระตุ้นให้เซลล์หลั่งสารเคมีบางชนิด เพื่อทำลายสิ่งแปลกปลอมนั้น
    มีการทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาว ที่มีหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรคพร้อมรบ
    กระตุ้นให้เลือดไหลเวียนมาบริเวณนี้ให้มากขึ้น อุณหภูมิบริเวณนี้ จะมากขึ้น
    และมีอาการบวม ที่เราเรียกอาการนี้ว่า อาการอักเสบ
    ทีนี้เมื่อใดที่สิ่งแปลกปลอมดังกล่าว หายไปแล้ว แต่เจ้าระบบภูมิคุ้มกันยังทำงานอยู่
    หรือเจ้าภูมิคุ้มกันเกิดขยันเกินเหตุ เห็นสารปกติ ธรรมดา
    ที่มีอยู่รอบตัวเป็นสิ่งแปลกปลอม ทีนี้แหละยุ่ง
    เพราะการอักเสบก็ยังคงดำรงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในหู
    คอ จมูก และระบบทางเดินหายใจ ก็จะเหมือนอยู่ใต้เปลวไฟ
    คือ มีอาการบวม แดง ร้อน หายใจลำบาก
    ซึ่งจะลุกลามเป็นผลให้เกิดการหายใจลำบาก กลายเป็นโรคหอบหืดไปเลย

    การยอมจำนวนต่อโรคนี้ ด้วยการยอมอยู่ภายใต้อาณัติยา และหอดู เหมือนมันจะเป็นคนขี้แพ้ ไปเสียจริง ๆ ลองมาดูกันว่า มีทางเลือกอะไรบ้าง ก่อนอื่น ต้องรีบหาว่าสาเหตุของภูมิแพ้ มาจากไหน เริ่มจากที่นอนหมอนมุ้งของเราก่อน ว่ามันเป็ฯที่สะสมของฝุ่น ตัวไร หรือไม่ จับตากแดดจัดบ่อย ๆ สักอาทิตย์ละหนก็ดี

    อาหารที่เรากินเข้าไป ก็เป็นปัจจัยหนึ่งของการแพ้
    เพราะฉะนั้นสำรวจว่าเราแพ้อาหารอะไร คือเวลากินอะไรเข้าไปแล้วเป็นผื่นคัน
    มีอาการจับหอบ ก็หลีกเลี่ยง หรือในรายที่ไม่ได้แพ้อาหาร
    เราก็ควรกินอาหารที่เสริมให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ
    ก็จะช่วยให้อาการภูมิแพ้ดีขึ้น นั่นคือ ไม่ปล่อยให้มีของเสียสะสมในลำไส้
    มีการขับถ่ายที่เป็นปกติ โดยการรับประทานอาหารที่มีเส้นใย
    เพื่อช่วยกวาดของเสียทิ้งออกไปกับการถ่ายอุจจาระ


    โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่ฮิตติดอันดัน ของคนในสังคมทุกวันนี้
    โดยเฉพาะคนในกรุงเทพฯ กล่าวกันว่าแปดในสิบคนที่เดินเข้าร้านขายยา
    มักจะต้องซื้อยาที่เกี่ยวข้องกับโรคภูมิแพ้ มีผู้คนมากมายที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคนี้
    อย่างไม่รู้จบ ต้องอยู่ภายใต้การกินยา และหาหมอ
    อย่างยาวนาน เวียนเข้าเวียนออก ต้องทนทุกข์จากผลข้างเคียงของยาแก้แพ้
    เช่น การง่วงนอน ปากคอแห้ง หรือการเต้นของหัวใจถูกรบกวน นอกจากนี้
    อาการข้างเคียงของยา ที่ทำให้จมูกโล่ง ก็สร้างความทุกข์ระทมไม่แพ้กัน
    คือ การที่มีอาการใจสั่น กระวนกระวาย มีอาการทางจิตประสาท
    นอนไม่หลับ ทางออกของโรคภูมิแพ้ ในมุมมองของการรักษาแผนปัจจุบัน
    ก็คือ การหลีกเลี่ยงสาร ที่แพ้กับการกินยา และหาหมอ

    ก่อนอื่นเราคงมารู้จักเจ้าภูมิแพ้กันสักหน่อย ภูมิแพ้เกิดจากความไม่สมดุล
    ของระบบภูมิคุ้มกัน ระบบภูมิกันเป็นกลไกที่ซับซ้อนพอสมควร
    ถ้าจะลองอธิบายแบบง่าย ๆ ก็คือ ถ้ามีสิ่งแปลกปลอม เช่น เชื้อโรคพวกแบคทีเรีย
    รา ไวรัส หรือเนื้อเยื่อ ที่ชอกช้ำจากการบาดเจ็บ ระบบภูมิคุ้มกัน
    จะกระตุ้นให้เซลล์หลั่งสารเคมีบางชนิด เพื่อทำลายสิ่งแปลกปลอมนั้น
    มีการทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาว ที่มีหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรคพร้อมรบ
    กระตุ้นให้เลือดไหลเวียนมาบริเวณนี้ให้มากขึ้น อุณหภูมิบริเวณนี้ จะมากขึ้น
    และมีอาการบวม ที่เราเรียกอาการนี้ว่า อาการอักเสบ
    ทีนี้เมื่อใดที่สิ่งแปลกปลอมดังกล่าว หายไปแล้ว แต่เจ้าระบบภูมิคุ้มกันยังทำงานอยู่
    หรือเจ้าภูมิคุ้มกันเกิดขยันเกินเหตุ เห็นสารปกติ ธรรมดา
    ที่มีอยู่รอบตัวเป็นสิ่งแปลกปลอม ทีนี้แหละยุ่ง
    เพราะการอักเสบก็ยังคงดำรงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในหู คอ จมูก
    และระบบทางเดินหายใจ ก็จะเหมือนอยู่ใต้เปลวไฟ คือ มีอาการบวม แดง ร้อน
    หายใจลำบาก ซึ่งจะลุกลามเป็นผลให้เกิดการหายใจลำบาก กลายเป็นโรคหอบหืดไปเลย

    การยอมจำนวนต่อโรคนี้ ด้วยการยอมอยู่ภายใต้อาณัติยา และหอดู เ
    หมือนมันจะเป็นคนขี้แพ้ ไปเสียจริง ๆ ลองมาดูกันว่า มีทางเลือกอะไรบ้าง
    ก่อนอื่น ต้องรีบหาว่าสาเหตุของภูมิแพ้ มาจากไหน
    เริ่มจากที่นอนหมอนมุ้งของเราก่อน ว่ามันเป็ฯที่สะสมของฝุ่น ตัวไร หรือไม่
    จับตากแดดจัดบ่อย ๆ สักอาทิตย์ละหนก็ดี

    อาหารที่เรากินเข้าไป ก็เป็นปัจจัยหนึ่งของการแพ้
    เพราะฉะนั้นสำรวจว่าเราแพ้อาหารอะไร คือเวลากินอะไรเข้าไปแล้วเป็นผื่นคัน
    มีอาการจับหอบ ก็หลีกเลี่ยง หรือในรายที่ไม่ได้แพ้อาหาร
    เราก็ควรกินอาหารที่เสริมให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ
    ก็จะช่วยให้อาการภูมิแพ้ดีขึ้น นั่นคือ ไม่ปล่อยให้มีของเสียสะสมในลำไส้
    มีการขับถ่ายที่เป็นปกติ โดยการรับประทานอาหารที่มีเส้นใย
    เพื่อช่วยกวาดของเสียทิ้งออกไปกับการถ่ายอุจจาระ

    นอกจากการกินอาหารที่มีการแล้ว อาหารที่เป็นสมุนไพร หลายชนิด
    สามารถช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ได้ อาิทิ หอมหัวแดง หอมแดง
    เป็นสมุนไพรในครัวเรือน ที่คนสมัยก่อนใช้รักษาโรคหวัด
    โดยกินหอมหัวเล็กวันละประมาณ 1 หัว จะทำให้ร่างกายสดชื่น
    มีความต้านทานโรคหวัด แต่ต้องระวัง เพราะตำราจีน ห้ามกินมากเกินไป
    คือ ตั้งแต่ 3 หัว (หัวขนาดเท่านิ้วมือ) ต่อวัน เป็นประจำทุกวัน
    เพราะอาจทำให้เกิดอาการมึนงง หลงลืมง่าย รากผมไม่แข็งแรง

    ปัจจุบันพบว่า สารในหอมหัวแดง มีสารไบโอฟลาโวนอยด์
    ชื่อ quercitih ซึ่งมีสูตรโครงสร้างทางเคมีคล้าย cromolyn sodium
    ซึ่งเป็นยาที่นิยมใช้รักษาโรคภูมิแพ้ และอาการหอบหืด
    โดยตัวของสารในกลุ่มไบโอฟลาโวนอยด์นั้น มีฤทธิ์ต่อต้าน อนุมูลอิสระ
    ซึ่งอนุมูลอิสระเป็นเสมือนเืชื้อเพลิง ที่ทำให้อาการอักเสบ รุนแรงขึ้น
    การกำจัดอนุมูลอิสระ ด้วยการรับประทานผักที่มีสีแดง สีส้ม ก็จะช่วยรักษาอาการแพ้ได้

    การรับประทานขมิ้นชันเป็นประจำ ก็จะช่วยให้โรคภูมิแพ้ ดีขึ้น
    ขนาดที่รับประทาน ถ้าเป็นการป้องกัน ก็ใช้ผงขมิ้นชันประมาณ 500 - 1000 มิลลิกรัม
    (1-2 แคปซูล) วันละ 2-3 ครั้ง แต่ถ้ามีอาการ ควรรับประทานเพิ่มขึ้น
    เป็นประมาณ 4 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง

    จากรายงานการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ พบว่า ขมิ้นชัน
    มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และมีฤทธิ์ ต้านการอักเสบ รวมไปถึง มีฤทธิ์
    ต้านฮิสตามีน ปัจจุบัน ในตำราสมุนไพรจากต่างประเทศ ก็ยอมรับขมิ้น
    เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง ที่มีประโยชน์ต่อคน ที่เป็นโรคภูมิแพ้และหอบหืด
    นอกจากสมุนไพรสองชนิดที่กล่าวมา ในแวดวงสมุนไพร
    ยังมีการแนะนำใหช้ใช้ ชาเขียว ขิง ชะเอม น้ำมันปลา
    ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และลดการอักเสบในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้
    แต่สมุนไพรทั้งสองชนิด คือหอมแดงและขมิ้นชัน สามารถพึ่งตนเองได้อย่างเต็มที่
    โดยเฉพาะขมิ้นแทบจะกล่าวได้ว่า การที่คนไต้ของเรา
    นิยมใส่ขมิ้นลงไปในอาหารในชีวิตประจำนั้น
    ก่อให้เกิดความชำนาญในการคัดเลือกสายพันธุ์ และความชำนาญ
    ในการเพาะปลูก ทำให้ขมิ้นชันที่ภาคใต้ให้สารสำคัญสูงมาก พบว่า
    ขมิ้นชันเมืองไทย มีสาร curcumin และ curcumin oil สูงกว่าประเทศอื่น ๆ

    ประเทศไทยควรส่งเสริม ให้มีการควบคุมปริมาณสารสำคัญ
    ในผลิตภัณฑ์ขมิ้นในท้องตลาด เพื่อการพัฒนามาตรฐานสมุนไพรไทย
    คนกินขมิ้นชัน จะได้ไม่ผิดหวัง

    การใช้สมุนไพร ในการรักษาโรคภูมิแพ้นั้น เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวนิดเดียว
    ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ทุกคนสามารถพึ่งตนเองได้ หัวหอมก็อยู่ในครัว
    ขมิ้นชัน ก็พอหาซื้อได้ไม่ยาก จะปลูกเองก็ไม่ยาก อายุประมาณ 1 ปี
    ก็สามารถเก็บมาใช้ได้ ถ้าเรามาช่วยกันสะสมประสบการณ์
    การใช้สมุนไพรรักษาโรคภูมิแพ้ สักวันเราจะเป็นแหล่งภูมิรู้ ทางสมุนไพรที่มากมาย
    เหมือนกับที่คนใช้สะสมความรู้ ในการคัดเลือกพันธุ์ขมิ้นชันนั่นเองฯ


    http://allknowledges.tripod.com/nontaiyak.html


    "นอนตายหยากที่บ้าน ปลูกไว้แล้ว กำลังขึ้นค่ะ"
    ลุงหมอ
    ลุงหมอ
    ผู้ก่อตั้ง
    ผู้ก่อตั้ง


    จำนวนข้อความ : 6844
    Join date : 20/11/2010

    บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร? - Page 2 Empty Re: บทไหว้ครู ก่อนจะหมักยาสมุนไพร?

    ตั้งหัวข้อ  ลุงหมอ Mon Jul 11, 2011 2:01 pm

    Very Happy Laughing Smile Rolling Eyes สำหรับ โรคภูมิแพ้ ? ที่ใช้ แล้วได้ผลเป็นประจำ ผม ให้ผู้ป่วย ใช้ 1. ทิ้งถ่อน มีใบ กิ่งเปลือก 2. กิง ยอด ใบ ทองหลาง 3. ใบเตย Wink นำมาต้ม ทานต่างน้ำ เป็นประจำ อย่างช้า 3 เดือน ได้ผลจ้า ง่ายๆ จะให้ไวก็ หยด พุทธมหาบัญญัติ ลงไปด้วย สัก2-3 หยด ผลก็ สบายๆๆ ในไม่ช้าจ้า ลองๆดูเอาเอง นะครับผม? cheers sunny santa ลุงหมอ

      เวลาขณะนี้ Mon Apr 29, 2024 9:38 am